Welcome to my blogspot

ดาวน์โหลดบทความใหม่ (dwnld)...ร.๕ กับการเสด็จประพาสประเทศอินเดีย...ขอขอบคุณบทความดีๆที่มีให้เราๆได้อ่าน เสริมปัญญา เป็นอาหารสมอง และให้ความรู้ที่ดีที่สุด­เพราะกลั่นมาจากปัญญาแท้ๆ wel 2013 come / Happy new year

หยิบข่าวมาบอก:Breaking News

r

31 พฤษภาคม 2552

ทัศนะศึกษาที่นครโฮจิมินห์ประเทศเวียดนาม



























ในวันที่ 27-30 พฤษภาคม 2552 Tripนี้

ไปกันเอง โดยมีนักศึกษาปริญญาเอก ม.นเรศวร ชาวเวียดนาม ชื่อ Mr.Dan Thai Cong นักศึกษาชาวต่างชาิตินักเรียนนอกในประเทศไทย หัวหน้าคณะในครั้งนี้ เอาะ(เราก็นักเรียนนอกเหมือนกันนะเนี้ย อีกคนใน Trip นี้ฮิฮิจริงๆ คุณพิษณุ ชวนไป เลยได้แจมไปกับเขาด้วย ทริปนี้รู้จักแค่ 3-4 คน) โดยติดต่อทัวร์ในเวียดนามและไกค์ชาวเวียดนามพูดไทยได้ พาเที่ยวชมสถานที่ต่างๆในการทัศนะศึกษาครั้งนี้ Trip นี้เป็นการศึกษาดูงานมหาวิทยาลัยและพระพุทธศาสนาและการพัฒนาของเวียดนามในนามของกลุ่มนักศึกษาปริญญาเอกมหาวิทยาลัยนเรศวรและนักชอบเที่ยวบางส่วนซึ่งนำโดยคุณพิษณุ แก้วนัยจิตร นักศึกษาปริญญาเอก ม.นเรศวร ที่จบสถาบันเดียวกันสมัยศึกษาปริญญาโท ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม จังหวัดพิษณุโลก ในขณะนั้นเดินทางไปกลับด้วยรถทัวร์สายสุโขทัย-พิษณุโลก รวมระยะทางไป-กลับ 120 กิโลเมตร ไปถึงมหาวิทยาลัยแต่เช้าทุกเสาร์-อาทิตย์ ไปก่อนเพื่อนๆที่อยู่พิษณุโลก ในระยะเวลา 2 ปี เหนื่อยมากๆ แต่ไม่ท้อเลย เอาละไปถึงแต่เช้าเลยที่สนามบินสุวรรณภูมิ ฉันเพล(รับประทานอาหาร)ที่สนามบิน แต่ยังไม่เจอใครสักคนที่รู้จัก ใจสั่นๆแล้ว ทำใจดีสู้เสือ ได้เวลาเที่ยงครึ่ง 12:30 น. จึงเอา Booking Number ไปCheck in รับตั๋วที่นั่งกับสายการบินแอร์เอเซีย ปรากฏว่าออกตั๋วได้ ใจชื่นขึ้นมาหน่อย ตัดสินใจเดินไปรอที่ Gate G4 ทางขึ้นเครื่องบิน ก็ยังไม่เจอใคร จนเวลาบ่ายสามโมง ใกล้เวลาเครื่องบินจะออก จึงเห็นคุณโยมต่างๆหรือพรรคพวกที่ไปด้วยกันทยอยมา คุณพิษณุได้เข้ามาทักทาย จนได้เวลาเครื่องออกจากออกจากสุวรรณาภูมิเวลา 15:25 น. ไปถึงสนามบินนครโฮจิมินห์ ชื่อว่า ท่าอากาศยานลองแท็ง (Long Thanh) เวลา 17:55 น. รถบัสมารับแล้วนำไปจังหวัดเกิ่นเทอ ถึงจังหวัดเกิ่นเทอ เวลา 24:15 น. ตลอดทางไปฝนตกรถติดและมีแม่น้ำหลายสายมากอุดมสมบูรณ์จริงๆ ก่อนจะถึงจังหวัดเกิ่นเทอ จะต้องนำรถข้ามแม่น้ำสายใหญ่มากโดยเรือขนาดใหญ่ที่สามารถบรรจุรถได้ 10 กว่าคัน พวกเราลงจากรถแล้วเดินไปขึ้นเรือเพื่อความปลอดภัย โดยถึงที่พักโดยสวัสดิภาพ จำวัดทันที่ ตื่นนอนตี 4:30. สวดมนต์และสงฆ์น้ำ (อาบน้ำ) เช้าวันใหม่ของวันที่ 28 พ.ค. 52 ทุกคนดูจะมีความตื่นตาตื่นใจกับการได้นั่งเรือข้ามแม่น้ำในเมื่อคืนและความสดชื่นของบรรยากาศ ทุกคนได้ลงมาเดินชมบรรยากาศและบ้านเมืองในจังหวัดเกิ่นเทอ แล้วรับประทานเช้า แล้วนั่งเรือชมลำน้ำตลอดสายมีเรือโบราณที่ยังใช้อยู่เป็นเรือขายสินค้าและเรือบรรทุกดินทรายเป็นต้น แล้วจึงเดินทางต่อไปยังมหาวิทยาลัยเกิ่นเทอ ( Cantho University) บริบทของมหาวิทยาลัยตั้งอยู่ในจังกวัดเกิ่นเทอ มีต้นไม้มาก มีตึกของมหาวิทยาลัย ที่เรียบง่าย มีการจัดการศึกษาถึงปริญญาเอกแต่ีมีนักศึกษาปริญญาเอกแค่ 38 คนเท่านั้น ทุกคนฟังสรุปการบรรยายของเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัย แล้วรับ Certification ก่อนเจ้าหน้าที่จะพาชมห้องสมุดมีนักศึกษามาใช้บริการมากโดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ ได้เวลาเดินทางกลับโฮจิมินห์ พักกินข้าวระหว่างทางโดยต้องขึ้นเรือข้ามฝากอีก ทุกคนถ่ายรูปบนหลังคาเรือแฟรี่ข้ามฝาก เดินทางถึงโฮจิมินห์เกือบ 2 ทุ่ม เข้าที่พักผ่อนเพื่อเดินทางไปจังหวัดหว่องเต่า เป็นจังหวัดติดทะเล ประมาณ 125 กิโลเมตรก่อนไปได้ไปเยี่ยมครอบครัว Mr. Dan Thai Cong ในโฮจิมินห์ ตอนเช้าของวันที่ 29 พ.ค. 52 (ตอนเช้าเวลาุ6โมงเช้าสาวๆ 2 คน ลงไปเดินเล่นขากลับมาเล่าให้ฟังว่าโดนกระชากกล้องถ่ายรูปดิจิตอลแต่โจรไม่สามารถเอาไปได้เพราะโจรมันขับรถมอเตอร์ไซค์ เอามาเล่าให้ฟังเฉยๆว่าไปเที่ยวอย่าได้วางใจ) เอาละครอบครัวว่าที่ ดร.dan ได้ต้อนรับเป็นอย่างดีพร้อมรับประทานอาหารว่าง ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก สภาพของบ้าน หน้าบ้านจะมีความยาวไม่เกิน 4-5 เมตร แต่ตัวบ้านจะยาวมาก จะเป็นแบบนี้เหมือนกันทั้งเวียดนาม และคนเวียดนามชอบดื่มกาแฟมาก เพราะมีร้านแกแฟเต็มไปหมด เป็นการแฟที่ไม่ผสมนมและครีมเทียม แต่อร่อยดี ก่อนเดินทางไปจังหวัดหว่องเต่า ไปถึงเวลา 11:30 น. ทุกคนมีความตื่นตากับความสวยงามของบรรยากาศทะเลของเวียดนาม เดินชมน้ำทะเลที่ใสสะอาด บางคนลงเล่นน้ำ บางคนเดินชม เสร็จแล้วจึงขึ้นรถบัสเดินทางไปชมวังโบราณที่สวยแบบเรียบง่ายบนภูเขาที่ใช้เป็นที่พักผ่อนเฉพาะวันหยุดของกษัตริย์เวียดนามในอดีต เข้าไปข้างในมีของเก่าที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ สวยและบรรยากาศดีเพราะอยู่ติดกับทะเล ตลอดทางมีต้นไม้สักใหญ่มากเป็นร้อยต้น บรรยากาสดีมากเห็นวิวริมทะเล ได้เวลาขึ้นรถเพื่อเดินทางต่อไป เพื่อไปเที่ยวชม วัดพระพุทธศาสนาของเวียดนาม จำชื่อไม่ได้เพราะจำยากลืมจด จดไม่ทัน เป็นวัดที่สวยแบบธรรมชาิติและสะอาดตาเป็นอย่างมาก เป็นวัดตั้งอยู่บนเขาที่ไม่สูงนัก มีคนเวียดนามและนักท่องเที่ยวไปชมไม่ขาดสาย ขึ้นรถกลับถึงโอจิมินห์เวลา 19:25 น. เดินทางเข้าที่พัก จำวัด เพื่อเริ่มเช้าวันสุดท้ายของวันที่ 30 พ.ค 52 เช้าวันใหม่ของวันสุดท้ายเดินทางไปชมพิพิธภัณฑ์สงครามเวียดเวียดนาม ไม่สามารถนำภาพมาลงประกอบได้เพราะโหดจริงๆ ตลอดทางได้เห็นต้นไม้ใหญ่มากเป็นต้นไม้สมัยฝรั่งเศษปกครองเวียดนาม ตื่นตามากเพราะเมืองไทยเราเห็นยากมากในเมือง ถ้าอยากเห็นต้องเข้าป่าลึกแถวๆจังหวัดแม่ฮ่องสอน เพราะเคยไปมาจึงรู้ เสร็จแล้วเดินทางไปชมทำเนียบรัฐบาลแต่ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นหอประชุมรวมชาติเวียดนามก่อนเข้าต้องสแกนก่อนเข้าโดยเจ้าหน้าที่เวียดนาม เมื่อเข้าไปภายในซึ่งใหญ่โตสวยงามดี แต่ละห้องเป็นของเก่าทั้งหมด มีห้องรับแขกอาคันตุกะต่างชาติ ห้องประชุม และที่สำคัญมีทางชั้นใต้ดินเพื่อหลบภัย หรือ (อุโมงค์หลบภัย)หากมีเหตุร้ายเกิดขึ้น เป็นทางสายยาวและมีห้องทำงานของแต่ละท่านเช่นประธานาธิบดีเป็นต้นเรียกว่า ( The warroom of the President) ชมเสร็จเดินทางไปชมโบสถ์คริสต์ ที่สร้างขึ้นสมัยฝรั่งเศษ และไปรณีย์กลาง และเดินทางไปตลาดกลางของโฮจิมินห์ พ่อค้าแม่ค้าชาวเวียดนามพูดไทยได้ เป็นตลาดสะอาดมากในตลาดมีขายสินค้าที่ระลึก อาหารน้ำดื่ม และอาหารสดเช่นปลาเป็นต้น เค้ารักษาความสะอาดมากจริงๆเมื่อเทียบกับบ้านเราของเราบางที่สกปรกคละเคล้ากันไป เดินชมตลาดกันจนเหนื่อยได้เวลากินข้าวกันไปกินข้าวที่ภัตตาคารเสร็จแล้วจึงเดินทางไปสนามบินโฮจิมินห์ เดินทางกลับถึงประเทศไทย 20:10 น. ในปัจจุบันมีประชาชนชาวเวียดนามนับถือพระพุทธศาสนามหายาน 85 % และศาสนาอื่นๆ 15 % เช่น คริสต์ อิสลาม ฮินดู เต๋า ขงจื้อ การสื่อสารใช้ ภาษาเวียดนาม ซึ่งเมื่อปี พ.ศ. 2463 วงการวิชาการเวียดนามได้ลงประชามติที่จะใช้ตัว อักษรโรมัน (quoc ngu) แทนตัว อักษรจีน (Chu Nom) ในการเขียนภาษาเวียดนาม จึงทำให้คนรุ่นใหม่ของเวียดนามลืมอักษรจีนของเก่าไป เศรษฐกิจของเวียดนามได้แก่อุตสาหกรรม ทอผ้า น้ำมันปิโตเลียม ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน เวียดนามส่งออกน้ำมันดิบเป็นรายใหญ่อันดับ 3 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถัดจากอินโดนีเซียกับมาเลเซีย และการส่งออกอาหารไปยังญี่ปุ่น ไตหวัน เช่น กุ้ง ปลา ปลาหมึกเป็นอันดับต้นๆของสินค้าส่งออก มาดูการศึกษาด้านวิชาชีพครูบ้างเป็นอย่างไรบ้าง

การศึกษาวิชาชีพครูในไทยและเวียดนาม(อ้างอิงจาก เว็บ http://bob23007.exteen.com)

การศึกษาในเวียดนามจะเห็นได้ว่าปัจจุบันกำลังมีการปฎิรูปการศึกษาเช่นเดียว กับประเทศไทย แต่ก็มีหลายอย่างที่น่าศึกษาจากประเทศนี้ นั่นก็คือ

1.ในขณะที่หลักสูตรการผลิตครูในประเทศเวียดนามนั้นเป็นหลักสูตร 4 ปี แต่หลักสูตรการผลิตครูของประเทศไทยในปัจจุบันเป็นหลักสูตร 5 ปี แบ่งเป็นเรียนวิชาศึกษาทั่วไป วิชาชีพครู และวิชาเอก เป็นเวลา 4 ปี และฝึกสอนอีก 1 ปี โดยหวังว่านักศึกษาที่เรียนวิชาชีพครูจะมีความรู้ในวิชาเอกเพิ่มขึ้น และมีความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ไปยังลูกศิษย์ได้เป็นอย่างดี

เมื่อเปรียบเทียบการผลิตครูระหว่าง 2 ประเทศ จะเห็นว่า มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง (แนวคิดของนักการศึกษาไทยกับเวียดนามมีความแตกต่างกัน) โดยตั้งข้อสังเกตุว่าทำไมเวียดนามจึงจัดการศึกษาเกี่ยวกับการผลิตครูได้ ทั้งๆ ที่ต้องเรียนถึง 221 หน่วยกิต ภายในเวลา 4 ปี นิสิต นักศึกษาที่เรียนวิชาชีพครูในเมืองไทยเดิมเรียนหลักสูตร 4 ปี และเรียนเพียง 140 -144 หน่วยกิตเท่านั้น นักศึกษาไทยมีเวลาว่างมาก บางวันเรียนไม่กี่รายวิชา บางวันไม่มีเรียน (โดยเฉพาะเทอมแรกของปี 4) นักศึกษาเหล่านั้นเอาเวลาว่างไปทำอะไร? ที่ไหน อย่างไร ....ปัจจุบันเป็น 5 ปี ฝึกงาน 1 ปี

แต่นักศึกษาของเวียดนามใช้เวลาเกือบทั้งหมดอยู่กับการเรียน ในเมือง (ฮานอย) ไม่มีห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ ไม่มีโรงภาพยนตร์และสถานที่ท่องเที่ยว รวมไปถึงสิ่งยั่วยวน /ชักจูงเยาวชนไม่มีมากมายเหมือนเมืองไทย ประกอบกับการที่พวกเขาจะต้องตั้งใจศึกษาเล่าเรียน เพราะไม่ต้องการที่จะมีชีวิตที่ยากลำบากเหมือนคนรุ่นพ่อแม่และต้องการมี โอกาสทำงานในวันข้างหน้า นอกจากนี้จะเห็นว่าในปีสุดท้ายของการศึกษาของนักศึกษาครูในเวียดนามจะต้องทำ โครงการวิจัย 10 หน่วยกิต

ชี้ให้เห็นว่าความเข้มข้นของการศึกษาต่างกันมาก และเมื่อเปรียบเทียบกับการศึกษาในระดับปริญญาโทของเมืองไทย พบว่า หลักสูตรปริญญาโทของเมืองไทยในหลายสถาบันเป็นหลักสูตรที่ไม่ต้องทำวิจัย บางหลักสูตรทำเพียงสารนิพนธ์ 6 หน่วยกิต บางหลักสูตรทำวิทยานิพนธ์12 หน่วยกิต แต่นักศึกษาครูระดับปริญญาตรีของเวียดนามต้องทำวิจัยถึง 10 หน่วยกิต เป็นผลให้นักศึกษาครูของเวียดนามเมื่อจบการศึกษาไปแล้วสามารถเป็นได้ทั้ง นักการศึกษา นักวิจัยและครูที่มีคุณภาพสูง

2.ในช่วงปิดภาคเรียนของทุกปี คณาจารย์ของแต่ละคณะวิชาจะมีโครงการ/โปรแกรมออกไปช่วยผลิต/จัดทำเอกสาร บทความ และหนังสือประกอบการเรียนให้กับสถาบันการศึกษาในชนบทหรือพื้นที่ห่างไกลความ เจริญ ซึ่งนักศึกษาวิชาชีพครูได้มีโอกาสในการฝึกประสบการณ์ด้วย ในเมืองไทยมีกิจกรรมลักษณะนี้น้อยมาก กิจกรรมส่วนใหญ่เป็นค่ายอาสาพัฒนาของนิสิตนักศึกษานั้น

3.ทุกวันที่ 20 พฤศจิกายน ของทุกปี ถือว่าเป็นวันที่ยิ่งใหญ่ของผู้ประกอบวิชาชีพครูและนักการศึกษาของเวียดนาม ทางคณะศึกษาศาสตร์/ครุศาสตร์จะจัดกิจกรรมการแข่งขันของนักศึกษาวิชาชีพครู ประจำปีขึ้น โดยกิจกรรมที่จัดขึ้นมีหลากหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทจะเกี่ยวข้องกับการศึกษาด้านวิชาชีพครูทั้งสิ้น เช่น การแข่งขันทักษะและความรู้เกี่ยวกับวิชาชีพครู การแข่งขันดังกล่าวจะช่วยให้นักศึกษาวิชาชีพครูในชั้นปีสุดท้ายมีความเชื่อ มั่นในตนเองและเป็นสะพานเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างนักศึกษาวิชาชีพครูด้วย กัน นอกจากนี้ยังมีการอภิปรายและแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในระหว่างการแข่งขันซึ่งจะ เป็นประโยชน์ทั้งต่อตัวนักศึกษาและคณาจารย์ อันจะส่งผลให้เกิดการปรับปรุงการเรียนการสอน/การผลิตนักศึกษาครูให้ดียิ่ง ขึ้น สำหรับประเทศไทยมีกิจกรรมในลักษณะนี้หรือไม่ ?

จะเห็นได้ว่าการจัดการศึกษาวิชาชีพครูในเวียดนามนั้น ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้มาก เพราะถือว่าการเป็นครูอาจารย์จะต้องมีความรู้ที่มากพอที่จะไปสอน และเป็นแบบอย่างแก่ศิษย์ได้ เพราะสิ่งที่ศิษย์จะเรียนรู้นั้นมิใช่เฉพาะวิชาที่ครูมอบให้เท่านั้น แต่รวมไปถึงแบบอย่างที่ครูปฏิบัติด้วย (ใช้ปัญญาพิจารณาเองว่าจริงไหม ผู้เขียนเองจบหลักสูตรครู เหมือนกันในสมัยเรียน ปริญญาตรี มหาจุฬาลงกรณ เพราะเป็นหลักสูตรที่ทุกสาขาต้องเรียน และปริญญาโท จบบริหารการศึกษา แต่ต้องยอมรับและสามารถนำมาวิจัยได้เพื่อแก้ปัญหา และทุกวันนี้เราพูดว่าการศึกษาของเราล้มเหลวต้องปฏิรูปใหม่อีกรอบ)

การนับเลขของชาวเวียดนาม

một โหมด 1
hai ฮาย 2
ba บา 3
bốn โบ๊น 4
năm นำ 5
sáu เซ๊า 6
bảy บ๋าย 7
tám ต๊าม 8
chin จิ๊น 9
mười เหมื่อย 10
mười một เหมื่อย โหมด 11
mười hai เหมื่อย ฮาย 12
Ba giờ rồi. บา เหย่อ โหร่ย สามโมงแล้ว


Từ vựng (คำศัพท์)

ông โองคุณผู้ชาย
bà บ่าคุณผู้หญิง
chào จ่าวคำทักทาย
xin lỗi
ซินโหลย
ขอโทษ
tên เตนชื่อ
là หล่าเป็น, คือ
gì หยี่อะไร
Dạ หย่ะครับ, ค่ะ
tôi โตยผม, ฉัน
còn ก่อนแล้ว....ล่ะ
Chào bà
จ่าว บ่า
สวัสดีคุณผู้หญิง
Tên bà là gì?
เตนบ่าหล่าหยี่
คุณชื่ออะไร

Tên tôi là Hà.
โตย
เตนหล่า ฮ่า

ฉันชื่อ Ha


สรุป การไปศึกษาในครั้งนี้ได้รับความรู้และัประสบการณ์ที่ดี ที่เห็นควรนำมาปรับใช้คือเรื่องความสะอาดของวัดพระพุทธศาสนาในไทย เพราะเป็นศาสนาสถานควรที่จะสะอาดไม่ควรมีถุงกระดาษ มูลสุนัข หรือมลพิษอื่นๆ เช่นบางวัดแถวนนทบุรี วัดที่มีคนจรไปอยู่กันเยอะ แต่ปล่อยให้มีมูลสุนัข เต็มวัด มีคนเยอะเสียเปล่า แต่ไม่จัดเวรรับผิดชอบสิ่งปฎิกูลภายในวัด สิ่งเสนอแนะคือควรมีการจัดเวรรับผิดชอบปฏิกูลและมูลสุนัขให้เรียบร้อย และสิ่งสำคัญอีกคือการพัฒนาบ้านเมือง รัฐบาลและข้าราชการควรจะมุ่งพัฒนาชาติบ้านเมือง มากกว่าเก่า และไม่แสวงหาผลประโยชน์และไม่โกงกินงบประมาณ ทำเพื่อบ้านเพื่อเมืองและประชาชนอย่างแท้จริง และประชาชนที่มีเงินมีทองแล้วจะต้องช่วยและร่วมมือแก้ไขสิ่งเลวร้ายทั้งของตัวเองด้วยคือไม่โกงรัฐต่างๆนานานั้นเอง ไม่ใช่เรามุ่งแสวงหาเพื่อจะได้กินรุ่นเราหมดไปเลย แต่ยังต้องคิดถึงรุ่นลูกรุ่นหลานที่จะอยู่บนผื่นแผ่นดินไทยต่อไป ที่ต้องใช้ชีวิตต่อไปในภายภาคหน้า ถ้าเราใช้หมดแล้วรุ่นลูกรุ่นหลานจะอยู่อย่างไร คือเราต้องเปลี่ยนแปลงวิธีการคิดเสียใหม่ คือต้องสร้างวันนี้เพื่อคนรุ่นหลัง ไม่ใช่มากอบโกยแสวงหาความร่ำรวยที่ได้มาจากการทุจริตโกงกินเพื่อความสุขสบายของตัวเองและครอบครัว ซึ่งน่าละอายใจ ขอโทษที่ สุนัข ยังรู้จักรักษาบ้าน แต่ถ้าเป็นคนผู้ประเสริฐ ไม่รู้จักรักษาบ้านตัวเอง ดูๆจะน่าอายและต่ำกว่าสุนัข.

17 พฤษภาคม 2552

มีความสุขในโลกที่แคบ ดีกว่ามีทุกข์ในโลกที่กว้าง


หลายๆคนในโลกเรานี้ล้วนปรารถนาความรวยคือมีเงินมีทองใช้จ่ายแบบไม่ขาดมือ ในโลกปัจจุบันหรือในอดีตพระพุทธเจ้าทรงสอนว่าคนจะก้าวล่วงทุกข์ได้ก็เพราะความเพียร เพียรในความหมายของพระพุทธศาสนากับความหมายทางโลกจึงเหมือนกันเพราะเอาความหมายของศาสนาไปใช้ เพียรคือทุกสิ่งทุกอย่างที่เอาใจและกายเข้าไปเปลี่ยนให้เป็นทรัพย์สินหรืออะไรก็ตามเช่น มีความเพียรในการศึกษาเล่าเรียนต่างๆ และการงานเพื่อชีวิตและครอบครัวที่ดีงาม ใจคือมีใจให้สิ่งที่ทำ กายคือยอมสละแรงกายและเหงื่อ ผลคือมีชีวิตที่มีอยู่ของตนเองดีมีความสุขครอบครัวสุขสบายอันนี้สมควรย่องยกเป็นอย่างมาก แต่การเสาะแสวงหาความสมหวังของคนบางคน บางพวกมุ่งเอาเปรียบคนอื่น เพื่อให้ได้มาซึ่งความสุขความสมหวังของตนเองและพวกหรือครอบครัวไม่ว่าด้วยวิธีการสกปรกปานใด อันนี้น่ารังเกียจมากถึงมากที่สุด ถ้าคนมีหลักศาสนาอยู่ในใจที่แท้จริงจะไม่กล้าแม้แต่จะคิดทำ เพราะคนที่จิตใจบริสุทธิ์ จะมีน้ำใสใจจริง ส่วนคนคดจะมีน้ำขุ่นใจคด ดูไม่ยากไม่นานเพราะเค้าจะต้องแสดงธาตุแท้ออกมาสักวัน ชีวิตของผู้เขียนเองไม่ได้วิเศษดีเลิศอะไรก็เพราะเป็นปุถุชนคนธรรมดา ไม่มีแม่ มีแต่พ่อ พ่อไม่รวยยืนยันนั่งยันว่าจริง พ่อแยกทางกับแม่ตั้งแต่วัย 1 ขวบ แต่พ่อของฉันไปรับฉันมาจากแม่เมื่อ อายุ 7 ขวบ คือไปขโมยจากแม่มาตอนที่แม่ออกไปทำงานนอกบ้าน แต่แม่ฝากฉันไว้กับเพื่อนบ้าน แถมเป็นลูกโทนคนเดียวเสียอีกจึงลำบาก ตั้งแต่นั้นมาฉันจึงไม่ได้พบกับแม่อีกเลย (แต่ฉันได้ติดตามหาแม่แล้วโดยถามข้อมูลจากพ่อ ฉันถึงเดินทางไปอำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น ตามที่พ่อบอก เมื่อปี 2550 นามสกุลแม่ คือ กองค้า ฉันได้ไปค้นหาข้อมูลบนอำเภอ จนฉันได้เจอบ้านแม่ ฉันจำสภาพบ้านได้ ในใจคิดว่าใช่แล้ว โดยคำถามชุดแรกว่าบ้านนี้มีผู้หญิงชื่อเสถียรไหม คำตอบมี คำถามชุดสองโยมเสถียรมีลูกชื่อต้นใช่ไหม ตอบใช่ คำถามชุดต่อไปแล้วพ่อของต้นชื่ออะไรเป็นคนที่ไหน คำตอบพ่อของต้นชื่อปุ๊หรือดำ เป็นคนสุโขทัย คำพูดแรกคือใช่แล้ว ฉันนี้แหละชื่อต้นลูกพ่อปุ๊ที่อยู่สุโขทัย เป็นลูกของแม่เสถียร ร้องโฮ่กันใหญ่ แต่ได้เจอแต่ยายจอม กองค้า และ น้าๆป้า เท่านั้น ไม่พบกับแม่ ได้สอบถามแล้วว่าแม่ได้ไปจากบ้านนานแล้วหลังจากมีน้องใหม่อีกสองคน คำว่าไปจากบ้านนานแล้วคือแม่สาบสูญติดต่อไม่ได้ สัญนิฐานว่าตายไปแล้วเพราะเป็น 20 กว่าปีแล้วครอบครัวทางแม่ไม่รวย ฉันตั้งใจจะเลี้ยงดูแม่สักครั้งในชีวิตตอบแทนคุณท่านให้ท่านได้สุขสบายแต่ฉันไม่มีโอกาสได้ตอบแทนแม่ มีแต่การบวชมา 10 กว่าปีของฉันจะเป็นผลบุญให้แม่ของฉันได้บ้างและการทำความดีตอบแทนแม่) มีคำโบราญว่าไว้ คือ ขาดแม่เหมือนแพแตก พ่อส่งฉันมาอยู่กับปู่-ย่า ที่สุโขทัย นี้นะถ้าพ่อไม่รักเราก็คงไม่ไปเอามาจากแม่ แต่พ่อไม่แสดงออกเพราะอยากให้เราพึ่งตนเองให้มาก เพราะการที่พ่อต้องรับผิดชอบกับครอบครัวใหม่กับลูกอีก 2 คนที่กรุงเทพ เอาละสรุปง่ายๆเพราะเขียนไปยาวแน่ๆว่าตัวฉันเองชีวิตไม่ได้สุขสบายอะไรเลยเจอแต่ทุกข์ แต่ด้วยความเพียรที่แท้จริงที่มีอยู่+กับมีผู้สนับสนุนเรื่องการศึกษา จึงทำให้ฉันมีความหวังในชีวิตที่ดีกว่าเดิมนั้นเอง จึงเพียรเล่าเรียนศึกษาจนจะสำเร็จปริญญาเอกอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ขอเสริมอีกสักนิดขอทำควมเข้าใจว่าลูกโทนคนเดียวที่ไม่มีพี่น้องร่วมสายโลหิตและไม่มีแม่ จะดูแข็งคือแข็งทางกายและใจเพราะต้องทำทุกอย่างเองหมดตั่งแต่การทำงานเพื่อเลี้ยงตนเอง ซักผ้า ถูบ้าน หุงข้าว ที่สำคัญคือยืนต้านทานแรงลม แดด ฝน อยู่คนเดียว และไม่เคยโดนเอาใจเหมือนลูกคนอื่นที่มีพ่อมีแม่ครบ จึงไม่เข้าใจการพูดเอาใจ การประจบประแจง ไม่เคยสนุกสนานเที่ยวเหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไป ที่ไปเสียเป็นส่วนใหญ่ และดีส่วนใหญ่ เสียแล้วกลับมาดีได้บ้าง ที่ดีแล้วกลับไปเสียบ้าง เป็นต้น ฉะนั้นแล้วจึงอย่าได้คิดเป็นอื่น ต้องยอมรับว่าคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์แบบนี้จะดูไม่ออกจะไม่เข้าใจเลยที่เดียว บางครั้งอยู่กับคนอื่นจึงต้องใช้จิตน้อมไปศึกษาเรื่องราวของคนอื่นบ้าง อย่าใช้ประสบการณ์ด้านเดียวของตัวเองที่มีอยู่ไปใช้ตัดสินคนอื่นหรือกับเพื่อนร่วมงานหรืออื่นๆ ต้องใช้จิตวิทยา เพราะอะไร "เพราะโลกนี้ไม่เที่ยงผันแปรตลอด" ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ <อนิจจัง ทุกข์ อนัตตา> ใจคนก็เช่นเดียวกัน ไม่เที่ยงจากเคยเป็นคนจิตใจดีเปลี่ยนมาเป็นคนจิตใจชั่วร้ายก็เยอะ จากคนใจชั่วร้ายเปลี่ยนมาเป็นคนจิตใจดีก็มีเยอะ หรือจากคนคิดดีมาเป็นคนคิดชั่วก็เยอะ หรือจากคนดีจิตใจดีก็ดีตลอดดังความมั่นคงเช่นภูเขาไม่สั่นคลอน ดูจากไหนตัวอย่าง องคุลีมารนั้นเอง องคุลีมารที่จริงจิตใจเดิมๆเป็นคนคิดดีจิตใจดี แต่โดนเหล่าบรรดาศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกันร่วมกันกลั่นแกล้งใส่ไคร้เพราะอิจฉา ว่าองคุลีมารคิดฆ่าอาจารย์ วิเคราะห์อาจารย์เองก็หูเบาปัญญอ่อนซะเหลือเกิน หลงเชื่อคำยุยงของเหล่าบรรดาศิษย์ชั่วคนอื่น "คนมีปัญญาจะต้องตรวจสอบสั่งเกตุก่อน" จึงสั่งให้องคุลีมารไปตัดนิ้วมา 1000 นิ้วเพื่อบูชาครูในการเรียนวิชาขั้นต่อไป ถ้าไม่บูชาจะไม่เป็นผล ด้วยเหตุที่ให้ไปตัดคืดต้องการยืมมือคนอื่นฆ่าองคุมารนั้นเอง ตนแรกองคุลีมารไม่ทำตาม แต่ด้วยรักในการเรียน จึงทำให้องคุมารหลงผิด ไปกับอาจารย์ปัญญาอ่อน แถมใจชั่วอีกต่างหาก

สรุปตบท้ายองคุลีมารมีจิตใจดีงามมาก่อนแต่โดนกลั่นแกล้งจากศิษย์ร่วมสำนักผนวกกับอาจารย์ที่ปัญญอ่อนไม่คิดตรวจสอบให้รอบครอบก่อน แต่สุดท้ายพระพุทธเจ้าก็มาโปรดองคุลีมารจนได้นิพพาน
ฉะนั้นแล้วการดูคนต้องดูให้ลึกถึงข้างใน ดูวิถีชีวิตความเป็นมา จะทำให้เข้าใจคนอย่างท่องแท้ ฉะนั้นแล้วฉันจึงพอใจในสิ่งที่ฉันมีฉันเป็น ฉันไม่เคยสร้างความเดือดให้คนอื่น อยู่เท่าที่ตัวเองอยู่ได้ ยืนได้บนโลกอย่างไม่สร้างกรรมให้คนอื่น ได้ช่วยเหลือสังคมนิดๆหน่อยตามอัตภาพฉันก็พอใจแล้ว แต่คนในโลกนี้ลืมสังคมไม่เหลียวแลสังคมจนปล่อยให้สังคมเน่า เพราะความเห็นแก่ตัวที่มาก่อนแต่ไม่เป็นไร "การมีความสุขในโลกที่แคบคือ การพอมีพอตัวของตัวเองมีความสุขในรังที่พอตัว ไม่เบียดเบียนคนอื่น เท่านี้ก็เป็นสุขเหลือล้น" "ส่วนการมีทุกข์ในโลกที่กว้าง คือความไม่รู้จักตัวตน อยากมีอยากได้เกินฐานะ อยากอวดอยากโชว์ว่ามีฐานะ จึงไม่คำนึงถึงการได้มาของเงินทอง จึงทำให้แสวงหาเงินโดยวิธีการต่างๆ เช่นยอมเป็นข้าทาสเงินให้เค้าซื้อได้ด้วยเงิน เหมือนการซื้อวัวซื้อควาย เขาจะจูงจมูกแบบไหนก็เชื่อและทำตามแม้ว่าจะเป็นสิ่งผิด หรือการค้ายาเสพติด ค้ามนุษย์ หรือหลอกลวงคนอื่นเป็นต้น เพราะการที่ดูถูกใจตัวเอง จึงทำให้ตัวเองต้องตกต่ำทางใจและศีลธรรม จึงมีความเป็นอยู่ที่ทุกข์ตลอดเวลา เพราะไม่รู้จักพอตัวพอตนและพอดีนั้นเอง" แต่จงจำไว้ว่าสังคมจะดีได้ก็เพราะใจเราร่วมมือแก้ไขความเน่าของสังคมและสิ่งที่เน่าในสังคมต้องแก้ไขด้วยตนเองจากสามัญสำนึก เพื่อให้สังคมใสสะอาดมีแต่คนดีๆ.


13 พฤษภาคม 2552

รักษาสีรถให้ถูกวิธี อาบน้ำประแป้งแต่งตัวให้รถคันเก่งกันดีกว่า

โดย จสอ.ดาบชัย หลักทอง นักศึกษา ปริญญาตรี มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร


เรื่องการขัดสีรถก็อาจจะมีหลายท่านที่ทำหน้าเบื่อ ๆ เพราะกิจกรรมนี้มันค่อนข้างจะต้องใช้ทั้งเวลาและแรงงานกันมากพอดู แต่ทราบกันหรือไม่ว่าการลงทุนเสียเวลาเสียแรงในการขัดสีรถนั้นพอเทียบกับความเงางามและความทนทานของสีรถที่ได้รับถือว่าคุ้มค่ามาก เนื่องจากไม่ได้ต้องขัดกันทุกวันทุกสัปดาห์หรือทุกเดือนเพียงแค่ 3 เดือนต่อครั้งเท่านั้น สีรถก็จะดูดีแวววาวสวยงามและเหมือนรถใหม่เสมอ
ที่นี้การจะเลือกใช้น้ำยาขัดเคลือบสีรถของยี่ห้อไหนหรือผลิตภัณฑ์ของใครนั้น สมควรอย่างยิ่งที่เจ้าของรถจะต้องทำความรู้จักคุณสมบัติเฉพาะตัวของสินค้ายี่ห้อนั้น ๆ เอาไว้ด้วย อย่างน้อยไอ้ตัวหนังสือที่เขาพิมพ์ไว้ข้างกระป๋องนั้น ถ้าตั้งใจอ่านก็พอจะได้ความรู้อยู่บ้าง
ควรเล่นให้ครบทุกกระบวนท่า
การขัดเคลือบสีรถนั้นไม่ใช่ขึ้นต้นมาก็ลงมือขัด ๆๆๆๆ กันเลย เพราะถ้าหากต้องการให้สีรถออกมาดูดีที่สุดก็ควรจะต้องทำให้ครบทุกขั้นตอน เนื่องจากกระบวนการในการขัดสีรถจะต้องเริ่มตั้งแต่การขจัดเศษฝุ่นละอองไปจนถึงการเคลือบป้องกันรังสี UV กันเลย
กระบวนการหรือกรรมวิธีเคลือบสีนี้จะแบ่งออกเป็นขั้นตอนต่าง ๆ ได้หลายขั้นซึ่งหากคุณใช้วิธีขับรถไปเข้าคาร์แคร์ก็ไม่เป็นไร เพราะเขาจะจัดการให้เสร็จเรียบร้อยทุกอย่าง (ยกเว้นเรื่องจ่ายเงิน คุณต้องทำเอง) แต่ถ้าไปเข้าร้านที่ไม่ค่อยลงทุนสักเท่าไหร่ ขั้นตอนต่าง ๆ ก็จะถูก “หด” ลงไป รวมทั้งคุณภาพของตัวน้ำยาที่ใช้ก็เป็นเกรดธรรมดา หรือต่ำกว่าธรรมดา (เพราะต้องการดึงราคาค่าบริการให้ต่ำลงจนดึงดูดความสนใจ) บางทีแทนที่จะเป็นการรักษาสีรถก็กลายเป็นทำลายสีรถไปเลย จึงอยากแนะนำให้เดินหาซื้อมาด้วยตนเองจะดีที่สุดเพราะเราสามารถเลือกระดับคุณภาพของตัวน้ำยาเหล่านี้ได้
ข้อควรคำนึง คือ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ยี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่งทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นน้ำยาล้าง ขึ้นผึ้งและครีมขัดในทุกขั้นตอน สาเหตุหนึ่งที่บอกว่าควรใช้ยี่ห้อเดียวกันก็เพราะสารประกอบที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ยี่ห้อเดียวกันนั้นจะไม่ขัดกันเองเหมือนกับการนำของต่างยี่ห้อมาใช้งานร่วมกันซึ่งบางครั้งสารเคมีที่ใช้อาจจะเป็นคนละตัวกันและมีฤทธิ์หักล้างซึ่งกันและกัน

ด่านแรก

มาเริ่มต้นที่กระบวนการขัดเคลือบสีรถกันดีกว่า ขั้นแรกคือการเลือกซื้อน้ำยาให้ครบ ชุด ซึ่งจะประกอบด้วย น้ำยาล้างรถชนิดที่เป็นแชมพู บางคนอาจจบอกใช้แชมพูสระผมก็ได้ อันนั้นเป็นความคิดที่ผิด อย่าไปเอาอย่างพวกล้างแท็กซี่เลย รถเราราคาตั้งหลายแสนหลายล้านแล้วก็ไม่ใช่รถสาธารณะด้วย ทำไมถึงไม่ได้ล่ะ ? จะบอกให้ว่า ตัวสูตรผสมของแชมพูทั้งสองชนิดนั้นจะมีพื้นฐานเดียวกันคือ จะมีสารที่ทำให้เกิดฟองเหมือนกันแต่ความแตกต่างอยู่ตรงที่ตัวทำความสะอาดชนิดที่ไม่ทำอันตรายแก่สีรถแล้วยังต้องช่วยรักษาความเงาของเนื้อสีเอาไว้ให้ได้ด้วย นั้นคือ คุณสมบัติที่รถยนต์ต้องการ ส่วนสำหรับเส้นผมเขาก็ต้องผสมสารต่าง ๆ มาให้เพื่อใช้กับเส้นผมโดยเฉพาะ ซึ่งสารพวกนั้นสีรถไม่ต้องการใช้ไปนาน ๆ เข้าสีรถจะเริ่มด้านขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน
เริ่มต้นขั้นตอนกันตั้งแต่การทำความสะอาดรถเสียก่อน โดยใช้ไม้ขนไก่ปัดฝุ่นผงต่าง ๆ ออกเป็นอันดับแรกด้วยวิธีปัดไล่ไปทางเดียวตรง ๆ อย่าปัดย้อนไปมาเด็ดขาดเพราะจะเท่ากับพาเอาฝุ่นผงกลับมาที่เดิม แถมเป็นการขัดสี (ให้เป็นรอย) ไปอีกด้วย
จากนั้นให้ใช้น้ำยาล้างรถผสมกับน้ำเปล่าในอัตราส่วนที่เขา กำหนดเอาไว้ ซึ่งปกติก็จะอยู่ประมาณ ฝาต่อ 1 แกลลอน (คิดแบบไทย ๆ ก็ 1 ฝาต่อน้ำ 1 ถัง) สำหรับรถขนาดเล็ก และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามขนาดของตัวรถที่โตขึ้น การล้างรถที่ให้ผลดีที่สุดจะต้องใช้ฟองน้ำ 2 แผ่น หลังจากฉีดน้ำเปลา เพื่อล้างฝุ่นไปรอบหนึ่งแล้ว ให้เอาฟองน้ำแผ่นแรกล้างส่วนบนของตัวรถตั้งแต่หลังคาไล่ลงมาถึงประมาณส่วนกลางของตัวรถ ล้างให้รอบคันเสร็จแล้วจึงเปลี่ยนฟองน้ำอันใหม่มาจัดการล้างส่วนด้านล่างต่อให้จบ เหตุที่ต้องให้เปลี่ยนฟองน้ำถึง 2 อันก็เพราะว่าอันแรกจะล้างส่วนบนที่ไม่ค่อยจะมีเศษฝุ่นทรายแต่ส่วนล่างจะมีฝุ่นทรายมาก หากใช้แผ่นเดียวแล้วพอนำเอามาล้างครั้งต่อไปเศษฝุ่นทรายที่ตกค้างอยู่ในฟอนน้ำจะออกมาถูกับสีให้เป็นรอยตามมาได้อีก หลังจากล้างด้วยฟองน้ำจนทั่วทุกส่วนแล้วจึงใช้น้ำสะอาดล้างฟองออกให้หมด แล้วใช้ผ้าสะอาด ๆ มาเช็ดน้ำที่ตกค้างออกให้แห้ง ถ้าได้พวกชามัวร์มาเช็ดก็จะทำงานง่ายขึ้นเพราะผ้าชามัวส์นั้นสามารถจะซับน้ำออกได้เร็วกว่าผ้าธรรมดา

ด่านสองต้องครีม

การขจัดริ้วรอยเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่ลึกมาก อย่างที่เรียกกันว่า “ขนแมว”ออกจะต้องใช้ยาขัดที่มีลักษณะคล้ายกับยาขัดสีของพวกอู่สีเขาแต่ต้องมีเนื้อละเอียดมากกว่าจะได้ไม่เกิดรอยใหม่ขึ้นมาแทนที่ของเดิม ครีมที่ใช้นี้จะเป็นครีมสูตรเดียวกับของวงการเครื่องประดับที่เขาใช้ขัดรอยขีดข่วนเล็ก ๆ น้อย ๆ ออก
เมื่อสำรวจตรวจหารอยจนครบแล้ว หากต้องการจะขัดออกก็ให้ใช้ครีมชนิดนี้พร้อมกับผ้าสำลี (ใช้งานดีที่สุด) มาขัดเบา ๆ ตามแนวของรอยขีดนั้น ๆ ไม่ต้องออกแรงมากมายเหมือนซักรองเท้าผ้าใบ แล้วเราก็จะเห็นว่ารอยขีดข่วนเล็ก ๆ เหลือน้อยลงหรือหายไปเลย ลบรอยกันแล้วก็มาถึงการขัดสีด้วยครีม ขั้นตอนแรกกัน ครีมที่ใช้จะเป็นแบบที่ผสมด้วย “น้ำมันคาร์นูบา” เพื่อใช้สำหรับขัดทำความสะอาด ขจัดคราบสกปรก และคราบสนิมรวมทั้งคราบเขม่าจากท่อไอเสีย (รถบางรุ่นจะโดนเขม่าจากท่อไอเสียเป็นปกติจากโรงงานเลย) วิธีการขัดให้ใช้ฟองน้ำหรือผ้าแตะน้ำยาเล็กน้อยทาในลักษณะวน ๆ ให้เป็นก้นหอยให้ทั่วทั้งคัน ครบทุกส่วนที่เป็นสีก็พอดีกับจุดที่เราเริ่มทายาขัดแห้งใช้การได้พอดีแล้ว
ขั้นตอนนี้ยากที่สุดเนื่องจากการขัดสีรอบนี้จะต้องออกแรงมากพอสมควรเพื่อปรับสภาพพื้นผิวให้เรียบขึ้นและยังต้องกำจัดเอาเศษคราบสกปรกที่ฝังติดแน่นออกให้หมด (ไอ้เจ้าเศษสิ่งสกปรกที่ติดมานั้น ส่วนใหญ่ก็จะมาจากเศษน้ำมันปนกับเขม่าควันและฝุ่นละอองในทุกแห่งที่รถของเราผ่านไปนั้นเอง ซึ่งไม่มีทางหลีกเลี่ยงเสียด้วย) และในทันทีที่ออกแรงขัดออกหมดแล้วก็จะเห็นว่าสีของรถคุณเริ่มขึ้นเงาและผิวสีจะลื่นขึ้นจนสังเกตได้

ด่านสามอุดและเคลือบ

หวังว่าคงยังไม่เหนื่อยกันนัก .. มาเริ่มต้นขั้นตอนต่อไปเลยดีกว่า หลังจากที่เราจัดการกับรอยขนแมวและคราบสิ่งสกปรกบนพื้นผิวเสร็จไปอีกหนึ่งขั้นตอนแล้วถึงตรงนี้ถ้าหากปล่อยเอาไว้อย่างนั้นไม่ลงมือขั้นต่อไปก็จะเท่ากับเราได้ขัดสีรถแล้วปล่อยเอาไว้เฉย ๆ เมื่อนำรถออกไปใช้งาน บรรดาสิ่งสกปรกต่าง ๆ ในบรรยากาศก็จะเข้ามาเกาะติดกับสีรถได้อีก ดังนั้น เพื่อให้การขัดสีครั้งนี้ไม่เสียเปล่าจึงจำเป็นจะต้องขัดด้วยครีมหรือขี้ผึ้งเคลือบสีอีกรอบหนึ่ง

ในขั้นตอนการเคลือบสีนี้เราสามารถจะเลือกใช้ได้ทั้งแบบครีมและขี้ผึ้งเนื่องจากทั้งสองชนิดทำจากเรซิ่นที่มีความหนืดสูง และมีความไวต่ออากาศ พร้อมด้วยส่วนประกอบของสารเทฟล่อน สุดท้ายก็จะเป็นสารสำหรับชักเงาทำให้การขัดสีง่ายขึ้น
เราสามารถแยกคุณสมบัติต่าง ๆ ของสารที่เติมเข้าไปมาได้คร่าว ๆ ดังนี้ เรซิ่นพิเศษที่ผสมอยู่นี้จะยึดติดกับผิวสี ช่วยอุดลบร่องรอยขีดข่วนเล็ก ๆ ทำให้สีรถดูเรียบ เป็นเงา และกลายเป็นผิวเคลือบที่เป็นเงาใส ๆ เพิ่มความเงางามให้กับสีรถได้อีกส่วนหนึ่ง และสารเทฟล่อนจะทำหน้าที่ช่วยให้เกิดความลื่น เคลือบสีให้เกิดความคงทนยิ่งขึ้น รวมทั้งช่วยป้องกันสีรถจากการกัดกร่อนของพวกกรดหรือด่างในน้ำในขี้นกในยางไม่ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย จุดเด่นอีกประการหนึ่ง คือ สามารถป้องกันรังสี UV (Ultra violet) อันเป็นตัวการทำลายสีรถให้ซีดจางได้ด้วย
กรรมวิธีการขัดให้ทำเช่นเดียวกับที่ลงมือไปเมื่อรอบที่แล้วคือ ใช้ฟองน้ำที่มีมาอยู่ในกล่องแตะครีมหรือขี้ผึ้งเล็กน้อยค่อย ๆ วน ๆ เป็นก้นหอย ทาให้ทั่วทั้งคัน จากนั้นจึงใช้ผ้าสำลีสะอาด ๆ มาเช็ดออกอีกทีหนึ่ง งานรอบนี้จะเบาแรงขึ้นพอสมควรเพราะเศษสิ่งสกปรกถูกกำจัดออกไปแล้วครั้งหนึ่ง

ขั้นตอนสุดท้าย

งานขัดเคลือบสีในขั้นตอนสุดท้ายนี้จะเป็นการเคลือบเงาปิดท้ายอีกชั้นหนึ่งเพราะขี้ผึ้งตัวสุดท้ายนี้จะมีคุณสมบัติในการป้องกันผิวสีให้มีความคงทน เงางามเป็นประกาย และยังช่วยป้องกันรังสี UV จากแสงแดด ไม่ให้ทำอันตรายต่อสีรถได้อีกระดับหนึ่งที่เหนือไปกว่าขั้นที่แล้ว (เรียกว่าชัวร์กันไปเลย)
กระบวนการขัดครีมขั้นสุดท้ายนี้ จะเป็นขั้นตอนที่เบาแรงขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง เพราะขี้ผึ้งตัวนี้เราจะใช้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ค่อย ๆ ขัดเบา ๆ เป็นก้นหอยให้ทั่ว แล้วเช็ดออกด้วยผ้าสำลีสะอาด ๆ เพียงเท่านี้สีรถที่เคยหม่นหมองก็จะกลับมาเงาวับในทันที
ขอเดือนเอาไว้สักหน่อยว่า การทำงานทั้งหมดนี้จะต้องปฏิบัติในร่มในเงาของหลังคาเท่านั้น หากไปเล่นขัดสีกันกลางแสงแดดจะทำให้ยาขัดแห้งไม่เท่ากัน และเห็นผล (ร้าย) ได้ตอนที่เมื่อเช็ดออกแล้วสีจะเงาไม่เสมอกัน นอกจานั้นยังทำให้ระยะเวลาที่น้ำยาจะทำปฏิกิริยากับผิวสีมีน้อยลงซึ่งเป็นเรื่องสำคัญพอสมควร เราสามารถทำเมื่อไรก็ได้ตามต้องการ แต่การขัดและเคลือบสีนั้น ไม่จำเป็นจะต้องทำทุกครั้งที่ล้างก็ได้เพราะเมื่อขัดและเคลือบครั้งหนึ่งแล้วจะมีอายุยืนยาวไปได้ถึงประมาณ 6 เดือน

03 พฤษภาคม 2552

กลูเกิล (GoogleTranslate) บริการแปลภาษา


เมื่อกลูเกิล (Google) เข้าใจจุดต่างของโลกไซเบอร์ ของนักท่องเว็บไซต์ของคนทั่วโลก ที่มีปัญหาด้านภาษา กลูเกิลจึงคิดการแก้ไข และการแก้ไขของกลูเกิลจึงถูกจุดและโดนใจนักท่องเว็บที่มีปัญหาด้านภาษากลูเกิลจึงจัดให้ มีบริการแปลหน้าเว็บไซต์ของภาษาต่างชาติ ยกตัวอย่างคือภาษาอังกฤษ มีบริการเป็นหน้าเว็บไซต์เป็นภาษาไทย ให้เข้าไปค้นหากันจนลึกถึงก้นบึ้งของเว็บไซต์นั้นๆ และนักท่องเว็บไซต์ สามารถที่จะช่วยกลูเกิลได้ด้วย คือช่วยส่งคำแปลเป็นภาษาไทยที่ดีกว่าไปยังกลูเกิลโดยตรง ที่ตรงข้อความที่ว่า___ (แนะนำคำแปลที่ดีกว่า)___ ดังนั้นในอนาคตอันใกล้เว็บไซต์ที่แปลโดยกลูเกิลจะมีความสมบูรณ์มากขึ้นในการอ่านทำความเข้าใจ แต่บริการอีกอย่างหนึ่งที่โดนใจมากๆๆๆ คือบริการแปลภาษา _Google Translate_ กลูเกิลแปลให้ 40 กว่าภาษาที่โดนใจวัยโจ๋ วัยหมดโจ๋ ทั้งหลาย เช่นแปลจากคำภาษาไทยเป็นอังกฤษ ที่แปลออกมาได้ดีมาก จนเราจะแถบลืมหรือลืมโปรแกรมแปลภาษาห่วยๆ( คือยังดีไม่พอ)กันไปเลยที่มีตามท้องตลาด หรือที่ให้ดาวน์โหลดแล้วเรียกเก็บเงิน เพราะกลูเกิลจัดแปลให้เรียบร้อยและดีมากๆๆ และเป็นบริการแปลให้ฟรีๆๆๆ ความสมบูรณ์ด้านการแปล เกือบ 70 % แปลได้ดีมาก

ประโยชน์และข้อดีของบริการแปลภาษาของกลูเกิล
1. ช่วยฝึกภาษาอังกฤษ และง่ายต่อการเข้าใจ
2. ทำให้การเรียนภาษาทำได้ที่บ้าน
3. ลดค่าใช้จ่ายในการจ่ายในการไปเรียนภาษานอกบ้าน
4. ทำให้รู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษมากมาย
5. สามารถแปลภาษาได้ในข้อความขนาดใหญ่ หรือข้อความมากๆ
ุ6. การมีส่วนร่วมช่วยกลูเกิลในการช่วยแก้ไขข้อความของภาษาให้มีความถูกต้องมากยิ่งขึ้นตรง คำว่า
(แนะนำคำแปลที่ดีกว่า)
7. ทำให้การติดต่อสื่อสารกับเพื่อนชาวต่างชาติทำได้ง่ายมากขึ้น
8. ทำให้การท่องเว็บไวต์ด้วยภาษาไทยมีความสะดวกมากยิ่งขึ้น
9. ทำให้เกิดการเรียนรู้และทัศนะกว้างไกล
10. เป็นบริการที่ฟรีๆๆ เพียงคุณมีอินเตอร์เน็ต และเข้าหน้ากลูเกิล คุณจะได้รับบริการดีๆเหล่านั้นทันที

มองกลูเกิลในอนาคต
ผลิตของกลูเกิลคือผลของปัญญา กลูเกิลจะยังเติบโตไปเรื่อยๆ กลูเกิลจะผลิตสิ่งใหม่ๆมาป้อนให้กับคนไม่รู้จบ สิ่งน่าจะเป็นคือของกลูเกิลในอนาคต การทำซอฟแวร์ให้กับโครงการอวกาศหรือยานอวกาศของชาติต่างๆหรือในเครื่องบินพาณิชย์โดยสารต่างๆ น่าจะเป็นโปรแกรมด้านความบันเทิงเช่น เพลงของทุกๆชาติที่เพียงคลิกเม้าไปแผนที่ประเทศนั้นๆ เพลงของประเทศนั้นๆจะขึ้นมาให้เลือกฟังทันที ฮิฮิไม่น่าจะเป็นไปได้แต่ด้วยสมองของกลูเกิลน่าเป็นไปได้ แม้แต่กลูเกิล Map (แผนที่ดาวเทียม)ที่เราใช้กันผ่านอินเตอร์เน็ตจนมองเห็นถนนและหลังคาบ้านกลูเกิลยังทำได้ และกลูเกิลน่าจะคิดทำสิ่งเหล่านี้ด้วย และการผลิตพัฒนา การแปลภาษา _Google Translate_จะถูกพัฒนาให้ใหญ่และดีกว่าเดิมเป็นแน่นอน และกลูเกิลก็ทำให้คนรักได้ทั่วโลก