Welcome to my blogspot

ดาวน์โหลดบทความใหม่ (dwnld)...ร.๕ กับการเสด็จประพาสประเทศอินเดีย...ขอขอบคุณบทความดีๆที่มีให้เราๆได้อ่าน เสริมปัญญา เป็นอาหารสมอง และให้ความรู้ที่ดีที่สุด­เพราะกลั่นมาจากปัญญาแท้ๆ wel 2013 come / Happy new year

หยิบข่าวมาบอก:Breaking News

r

18 กรกฎาคม 2552

ผู้หญิงคือแม่ แม่คือนางฟ้าที่แสนดีของลูก

นั่งคิดมาตั้งนานว่าจะรอเขียนเรื่องของแม่ในวันแม่ที่จะถึงนี้ ต่อจากเรื่องที่แล้ว ที่เป็นประโยชน์และสาระเพื่อผู้สนใจใส่ใจทางปัญญาจะเข้ามาอ่านและได้อ่าน Weblog นี้แล้วเกิดประโยชน์ต่อปัญญาไม่มากก็น้อย กลิ่นอายอันอบอวนของวันแม่ที่โชยกลิ่นหอมไปทั่วประเทศไทยขณะนี้ ที่เริ่มจะใกล้เข้ามาทุกขณะในวันอันใกล้นี้ จะเป็นวันแม่แห่งชาติ 12 ส.ค. 52 ของพระราชินีนาถ ซึ่งเป็นวันประสูติของพระองค์ท่าน จึงหมายรวมเอาเป็นวันแม่แห่งชาติของคนไทยทุกคน ที่จะต้องแสดงความกตัญญูต่อแม่ของตนเองและต่อพระองค์ท่าน การแสดงความกตัญญูต่อแม่ของเราจะต้องปฏิบัติทุกวัน ดังที่พระพุทธศาสนาสอนไว้ว่า กตัญญูกตเวทิตา ย่อมเป็นเครื่องหมายของคนดี พระพุทธเจ้าท่านมีความกตัญญูต่อมารดาอย่างมาก ท่านจะขึ้นไปเทศน์ให้แม่ฟังที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ทรงแสดงพระอภิธรรมต่อพระมารดาจนบรรลุโสดาบัน ฉะนั้นการกตัญญูนั้นจะต้องกตัญญูต้องรู้คุณอยู่ 4 ประการคือตามความหมายของผู้เขียนคือ
1.กตัญญูต่อชาติของตนเองนั้นคือแผ่นดินชาติไทย
2.กตัญญูต่อศาสนา
3.กตัญญูต่อพระมหากษัตริย์
4. กตัญญูต่อพ่อแม่ ครู-อาจารย์ ผู้มีพระคุณท่านอื่นๆ

ถ้าเป็นไปได้คือผู้ชายควรกตัญญูต่อเมียด้วยยิ่งดี อะไรกันทำไมต้องเป็นอย่างนี้ จะไปกตัญญูทำไมกับเมีย เขียนผิดหรือเปล่าไม่ผิดแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ จะถามว่าเพราะอะไรจะต้องกตัญญูต่อเมียหรือคู่กรรมตนเอง เฉลยให้ทราบดังนี้ ใน พระไตรปิฏก ได้กล่าวถึงสตรีนั้นมีความทุกข์อยู่มาก ต่างจากผู้ชายคือสามี พึงสังวรณ์ในใจและพึงปฏิบัติต่อภรรยาของตนเอง โดยการเอาใจใส่ เห็นอกเห็นใจและเข้าใจภรรยาตนเอง และผู้เขียนนึกได้ว่าผู้ชายบางคนหรือหลายๆคนโชคดีที่มีภรรยาร่ำรวยกว่าตนเอง เมื่อเป็นเช่นนี้จึงสำคัญมากที่จะต้องกตัญญูต่อเมียตนเองเข้าไปอีก ดังสาระนี้

1. ผู้หญิงต้องจากหมู่ญาติมาอยู่ตระกลูของสามี สามีควรให้ความอบอุ่นดูแล
2. ผู้หญิงมีระดู ซึ่งบางคราวก่อให้เกิดปัญหาความแปรปวนทางกายและใจผู้ชายควรเข้าใจ
3. ผู้หญิงมีครรภ์ซึ่งยามนั้นต้องการความเอาใจใส่บำรุงกายใจเป็นพิเศษ
4. ผู้หญิงคลอดบุตร ซึ่งเป็นความเจ็บปวดทุกข์แสนสาหัส และเสี่ยงชีวิตมาก สามีควรใส่ใจเหมือนเป็นทุกข์ของตน
5. ผู้หญิงต้องคอยปรนนิบัติเอาใจฝ่ายชาย ฝ่ายชายไม่ควรเอาแต่ใจตัว พึงซาบซึ่งในความเอื้อเฟื้อและมีน้ำใจตอบแทน (นัย สํ.สฬ. 18/462/297) (เนื้อหาทั้งหมดตรงตามหลักการทางแพทย์ปัจจุบัน โดยเฉพาะข้อ 2 และข้อ 4.)

เป็นไงผู้ชายอย่างเราๆคงจะต้องใส่ใจและควรกตัญญูต่อภรรยาของเราไหมละทีนี้ และผู้ชายที่แสดงความรักต่อเมีย และเมียต่อสามี ที่ยิ่งใหญ่ที่ยังจดจำกันได้คือแม่นาคและทิดมากในหนังเรื่องแม่นาคพระโขนง ของไทยๆเรานั้นเอง และของต่างชาติละมีไหมตอบได้เลยว่ามี คือ
ทัชมาฮาล ศิลปกรรมสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดในโลกที่อินเดีย ตำนานรักที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าซาห์ ซาหาน ที่มีต่อมเหสีนามว่า มุมตัซ มาฮาล แม้ในยามรบพระนางติดตามพระองค์แม้ในยามรบ การสิ้นพระองค์ของพระนางเมื่อทรงให้เกิดเนิดทายาทองค์ที่ 14 การตายของพระนางทำความเศร้าโศกต่อพระเจ้าซาห์ ถึงสองทศวรรษและเริ่มสร้าง อนุสรณ์ให้กับนางมุมตัซ มาฮาล คือ ทัชมาฮาลนั้นเอง และเชื่อว่าคนไทยเราที่รักภรรยาและเมียตนเองมีเยอะมาก หรือผู้หญิงจะว่าผู้ชายห่วยๆ ตามเพลงที่ดังนั้น ก็แล้วแต่จะว่าแต่อย่าเหมาหมดว่าผู้ชายไทยไม่ดีทั้งหมด แต่ยังมีผู้ชายหลายคนบอกว่าผู้หญิงไม่สมกับเป็นแม่ของลูกบางก็มีอย่างเช่นผู้หญิงเที่ยวกลางคืน กิน- ดื่ม สุรายาเมา เล่นการพนัน เป็นต้น แต่อย่างน้อยก็มีผู้เขียนนี้แหละที่ไม่เคยหลอกลวงผู้หญิงและไม่เคยเกาะผู้หญิงกินจริงๆนะเนี้ยสำนึกตนเอง(ไม่ได้ยกยอปอปั้นตนเองนะ เรื่องจริงทีเดียว)แหละผู้ชายอีกหลายคน (ผู้ชายหลายคนบอกว่าดูกันออก) แต่ใครที่เกาะผู้หญิงกินก็ตามใจท่านเถอะ(เป็นแมงดาปีกทอง) แต่ไม่ได้หมายความว่าให้ผู้หญิงมาเกาะนะ ตัวผู้เขียนจึงคิดไปเองว่าเหมือนเพลงลูกหิน มากกว่าเป็นเพลงลูกแก้วของคาราบาว เอ้าทำไมเป็นแบบนั้นละ ก็คือเมื่อประถมศึกษา 1-6 เรียนจบโรงเรียนวัดคูหาสุวรรณ อำเภอเมือง จังหวัดสุโขทัย เป็นลูกศิษย์พระมาตั้งแต่เด็ก อายเพื่อนไหมอายเหมือนกัน บอกตรงๆว่าคนในสังคมมองว่าคนเป็นเด็กวัดไม่มีกินทำนองนี้แหละ แต่จะทำไม เพราะไม่ได้ไปโกงและขโมยใครมากิน แถมยังเป็นการใช้เวลาให้เป็นประโยชน์และมีจิตสาธารณะด้วยจริงไหม ดังนี้ "เรียนเข้าไปลูกถึงลูกจะเรียนโรงเรียนวัด พ่อไม่มีเงินยัดลูกไปโรงเรียนดีๆ ลุยเข้าไปลูกเรียนเข้าไปให้มันได้เสีย ไม่ต้องมีแป๊ะเจี๊ย ไม่ต้องเสียใจหรอก จงภาคภูมิใจในความยากจน พ่อไม่ใช่คนขี้โกงขี้กิน คนเราใช่มีค่าแค่เพียงทรัพย์สิน เราเกิดบนดินควรทดแทนคุณ ใฝ่คุณธรรมทำแต่ความดี มีอิ่มมีพอขออย่าสะสม ช่วยเหลือผู้ทุกข์ตรม สมหวังดั่งพ่อตั้งจิต.......แต่ตรงอย่าสะสมนั้นมีสะสมบางก็ดีนะ...ส่วนเนื้อเพลงลูกหิน คาราบาว เนื้อเพลงลูกแก้ว ที่พ่อแม่ไม่มีเวลาเลี้ยงดูอบรม ประเคนแต่เงินทองให้อย่างเดียว ลูกจึงเสียคน มีเยอะนะแต่ละครอบครัวที่พ่อแม่ไม่อบรมสั่งสอนลูก ลูกทำผิดก็ว่าถูกไม่ติเตียนอบรมคือให้ท้ายลูกนั้นเองสุดท้ายคือย้อมลูกตัวเอง หรือย้อมแมว ลูกฉันจะชั่วก็บอกว่าเป็นคนดี เช่นลูกฉันนะขยันตั้งใจทำเรียน ตั้งใจทำงาน เป็นคนดี แต่จริงๆแล้วลูกตัวเองไม่ได้เรื่องเลย ขี้เกียจเป็นนิจ ขี้โม้เป็นอาจินต์ ขี้โกงตลบแตลงเป็นนิสัย รังเกข่มเหงลูกคนอื่น เอาเปรียบคนอื่นได้เป็นดี ทำนองนี้แหละ(แต่ที่พ่อ-แม่สั่งสอนลูกดีมีเยอะ) พ่อแม่ทำนองนี้ไม่ดีเลยเพราะสอนลูกผิดๆ ซึ่งไม่มีในตำราสอนใดๆเลยที่สอนกันให้พูดผิด คิดผิด ทำผิด และแน่นอนว่าไม่เคยมีอาจารย์คนไหนสอนให้เด็กเป็นคนเลว ต้องทำเลว ทำชั่ว ตั้งแต่เรียนมาไม่มีอาจารย์คนไหนสอนให้ทำชั่ว สิ่งเหล่านี้นอกตำราเรียนทั้งนั้น ดังเช่นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ต้องถูกลงโทษให้ออกจากราชการเป็นต้นเพราะอะไรเพราะการประพฤติสิ่งไม่ถูกต้องนั้นเอง เพราะการปฏิบัตินอกตำราเรียนนั้นเอง เชื่อหรือไม่ว่าตอนเมื่อกลับมาจากเวียดนาม ที่ Airport ท่าอากาศยานในเวียดนามขณะกำลังรอขึ้นเครื่องเพื่อกลับไทย มีพ่อลูกและเพื่อนของลูกละมั่งแต่สนิทกันมากนะกับคนเป็นพ่อ นั่งรออยู่ด้านหลังของหลวงพี่ แกพูดโทรไปหาลูกที่เมืองไทยอีกคนให้จองโต๊ะสุราที่ร้านหนึ่งชื่อดังมากแดงๆนี้แหละ เพื่อกลับถึงไทยแล้วจะได้ไปนั่งดื่มทำนองนี้ แม้ความคิดที่หลวงพี่เกิดในขณะนั้นคือ นี้นั่งรอด้านหลังหลวงพี่แท้ๆ แกยังไม่รู้สึกรู้สาละอายใจ จึงคิดไปอีกว่าพ่อพาลูกไปทางอบายมุขคือสุราเมรัย คนประเภทนี้แหละที่ทำให้สังคมมีปัญหาเพราะคิดแต่สุขสบายแต่ตัว ไม่สนใจสังคม สั่งสอนลูกผิดๆไม่ดีแน่นอนแบบนี้ เป็นตัวก่อปัญหาสังคม" เอ้าละกลับมาเรื่องแม่ต่อดีกว่า แต่ตัวหลวงพี่เองแต่มีความตั้งใจและตั้งใจเสมอว่าจะคิดแต่สิ่งดีๆ ทำแต่สิ่งดี นั้นเอง มานั่งคิดทุกวันว่าคือรำลึกนึกถึงบุญคุณของแม่เสมอทุกวันทุกปี ในความดีของแม่ แม่จึงเป็นเหมือนนางฟ้าผู้ใจดีต่อลูกเสมอ และทุกลมหายใจของนางฟ้าคือแม่จะมีแต่ลูกเท่านั้น แม่ของหลวงพี่ที่จำความได้ไม่เคยตีฉันเลยสักครั้งเดียวมีแต่เอื้ออารีย์ ดังนั้นจึงถือโอกาสที่จะถึงวันแม่ในครั้งนี้ ขอเขียนสดุดี(รำลึกบุญคุณแม่) ดังนี้ คือ

1. แม่คือนางฟ้าที่มีน้ำใจใสบริสุทธิ์กับลูกอย่างมาก
2. แม่คือนางฟ้าที่เลี้ยงลูกด้วยความรักบริสุทธิ์เอื้ออารีย์ต่อลูกอย่างมาก
3. แม่คือนางฟ้าที่มีมิตรไมตรีที่บริสุทธิ์กับลูกอย่างมาก
4. แม่คือนางฟ้าที่เป็นเหมือนพรหมที่แสนดีในหล้า
5. แม่คือนางฟ้าที่งดงามเจิดจรัสทั่วท้องนภา
สรุป บุญคุณของแม่ในชาตินี้แม้จะไม่ได้ตอบแทนท่านเลยสักนิดเดียว แม้เกิดชาติหน้าหรือชาติไหนขอตอบแทนคุณแม่ ส่วนท่านๆที่ยังมีแม่อยู่ขอให้ดูแลท่าน เลี้ยงดูท่าน เฉกเช่นท่านเลี้ยงดูเรามาตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ตั้ง 9 เดือน และเลี้ยงดูเราจนเติบโต แต่แม่ยังเลี้ยงเรา ดูแลแม่รักแม่เหมือนความรักที่บริสุทธิ์ของแม่ที่มีให้เรา แม่เลี้ยงดูเรามานาน เราเลี้ยงดูแลแม่เราไม่เท่าไรน้อยกว่าแม่เรามากที่แม่เลี้ยงดูเรา แม่คือนางฟ้าและพรหมของลูก การดูแลเลี้ยงท่านให้ดีจะเป็นศรีและโชคลาภและบุญของลูกๆ ชีวิตนี้จะมีแต่ความสำเร็จในชีวิต.

01 กรกฎาคม 2552

ศ.ศาลา 4 ศ มีไว้ในใจสังคมดีแน่นอน



ในสภาวะสังคมที่สับสนและเลาะเทอะทางใจ(หาความจริงใจไม่มีกับคนไม่จริงใจและหาความจริงใจได้กับคนที่ใจจริง) และความคิดเป็นปัญหาที่ควรจะได้รับการแก้ไขเพราะคิดกันเลอะเทอะคิดกันนอกคุณธรรม คิดเห็นแต่จะเอาเปรียบในความเป็นมนุษย์ด้วยกัน คนในปัจจุบันลุ่มหลงแต่กิเลส คิดเอาเปรียบและหากินบนความเดือดร้อนของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แม้เขาจะมีความเป็นอยู่ที่ดีมีฐานะแต่สิ่งที่เขาทำคืออสัทธรรมคือบาป ผิดจากหลักศาสนาที่สอนให้ประกอบสัมมาอาชีพที่ดีสุจริต อาชีพใหม่ในสังคมไทยทุกวันนี้คืออาชีพหากินกับความเดือดร้อนคนอื่น ที่มีอยู่เต็มไปหมด เช่นอาชีพ รับซื้อรับฝาก ที่ทำกันเป็นล่ำเป็นสันอยู่ในตามจังหวัดต่างๆ ที่จริงเหมือนกับโรงรับจำนำดีๆนี้เอง แต่เลี่ยงไปใช้คำว่ารับซื้อรับฝากทุกอย่าง รับซื้อถูกๆรับจำนำถูกๆ แต่มาตั้งขายแพงๆ <เป็นการเล่าสู่กันฟังและเคยมากับตัวเองตอนเป็นพระน้แหละ> แม้จะเป็นของมือสอง นั้นคือหากินกับความเดือดร้อนคนอื่นไม่พอยังหากินกับผู้ที่จะมาอุปการะคุณสินค้านั้นเสียอีกโดยเรียกราคาแพงกว่ารับจำนำ ที่จริงการทำแบบนี้มีอยู่ในสังคมทุกหมู่บ้านทุกจังหวัดมาช้านาน ที่รอคอยจะเอารัดเอาเปรียบคนอื่นหากินบนความทุกข์คนอื่น บ่งบอกได้ว่าคนยังขาดศีลธรรม ขาดความเอื้ออารีย์ต่อกัน คือพูดง่ายๆว่าจะรอทรัพย์สินจากคนเดือดร้อนหรือคนมีทุกข์ว่าจะมีทรัพย์สินอะไรมาจำนำ นั้นคือการให้ทุกข์และซ้ำเติมคนอื่นให้เดือดร้อนหนักไปอีก จริงๆแล้วการทำแบบนี้และจะว่าไปแล้วอาชีพนี้เป็นอาชีพที่น่าขยะแขยงน่าเกียจสำหรับผู้เขียนเป็นอย่างมาก เพราะอะไร เพราะว่า อาชีพนี้ไม่สนใจว่าคนที่มาจำนำหรือมาฝากเดือดร้อนจากสาเหตุอะไร มาจากสาเหตุยังว่างงานก็น่าใช่ มาจากสาเหตุติดยาเสพติดแล้วเอาหรือขโมยของจากทางบ้านที่อื่นมาขายหรือฝากก็น่าใช่ มาจากสาเหตุขี้โกงไม่เก่งก็น่าใช่ มาจากสาเหตุติดการพนันก็น่าใช่ มาจากสาเหตุอะไรก็ตาม การหากินแบบนี้ใช่หน้าที่ของพลเมืองที่ดีเลย ท่านใดที่ปฏิเสธข้อเขียนตรงนี้ว่าไม่จริงโปรดส่งความเห็นมาได้พร้อมเหตุผลดีๆ แล้วจะนับถือท่านเป็นปรมาจารย์ของผู้เขียน สิ่งที่ผู้เขียนได้เห็นคือ คนยังขาดหลักพรหมวิหารสี่ ขาดสติหยั่งคิด และขาดความรับผิดชอบต่อสังคมส่วนรวม ขาดความเอื้ออารีย์ต่อกัน ในโลกนี้มีบุคคลอยู่สองประเภทคือ คนดีมีศีลธรรม และคนไม่ดี ดูได้อย่างไรละ หรือเป็นมิตรแท้หรือเป็นมิตรเทียม ดังที่พระพุทธเจ้าสั่งสอนไว้ดังนี้

ก.มิตรเทียม พึงรู้จักมิตรเทียม หรือศัตรูในร่างของมิตร (มิตรปฏิรูปก์) 4 ประเภทดังนี้

(1.)คนปอกลอก ขนเอาของเพื่อนไปถ่ายเดียว มี 4ลักษณะ
1. คิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว
2. ยอมเสียน้อย โดยหวังจะเอาให้มาก
3. ตัวมีภัย จึงมาช่วยทำกิจของเพื่อน
4. คบเพื่อน เพราะเห็นแก่ประโยชน์

(2.) คนดีแต่พูด(วจีบรม) มีลักษณะ 4
1. ดีแต่ยกหมดของหมดแล้วมาปราศรัย
2. ดีแต่อ้างของยังไม่มีมาปราศรัย
3.สงเคราะห์ด้วยสิ่งที่หาประโยชน์มิได้
4. เมื่อเพื่อนมีกิจ อ้างแต่เหตุขัดข้อง

(3.) คนหัวประจบ(อนุปิยภาณี) มีลักษณะ 4
1. จะทำชั่วก็เออออ
2. จะทำดีก็เออออ
3. ต่อหน้าสรรเสริญ
4. ลับหลังนินทา

(4.)คนชวนฉิบหาย(อปายสหาย) มีลักษณะ 4
1. คอยเป็นเพื่อนดื่มน้ำเมา
2. คอยเป็นเพื่อนเที่ยวกลางคืน
3. คอยเป็นเพื่อนเที่ยวดูการเล่น
4. คอยเป็นเพื่อนไปเล่นการพนัน

ข. มิตรแท้ พึงรู้จักมิตรแท้ หรือมิตรด้วยใจจริง(สุหทมิตร) 4 ประเภทดังนี้

(1.) มิตรอุปการะ(อุปการก์) มีลักษณะ 4
1. เพื่อนประมาท ช่วยรักษาเพื่อน
2. เพื่อนประมาท ช่วยรักษาทรัพย์สินของเพื่อน
3. เมื่อมีภัย เป็นที่พึ่งพำนักได้
4. มีกิจจำเป็น ช่วยออกทรัพย์ให้เกินกว่าที่ออกปาก

(2.) มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์(สมานสุขทุกข์) มีลักษณะ 4
1. บอกความลับแก่เพื่อน
2. รักษาความลับของเพื่อน
3. มีภัยอันตรายไม่ละทิ้ง
4. แม้ชีวิตก็สละให้ได้

(3.) มิตรแนะนำประโยชน์(อัตถักขายี) มีลักษณะ 4
1. จะทำชั่วเสียหาย คอยห้ามปรามไว้
2. แนะนำสนับสนุนให้ตั้งอยู่ในความดี
3. ให้ได้ฟังได้รู้สิ่งที่ไม่เคยได้รู้ได้ฟัง
4. บอกทางสุขทางสวรรค์ให้

(4.) มิตรที่มีใจรัก(อนุกัมปี) มีลักษณะ 4
1. เพื่อนมีทุกข์ พลอยไม่สบายใจ (ทุกข์ๆ ด้วย)
2. เพื่อนมีสุข พลอยแช่มชื่นยินดี (สุขๆ ด้วย)
3. เขาติเตียนเพื่อน ช่วยยับยั้งแก้ไข
4. เขาสรรเสริญเพื่อน ช่วยพูดเสริมสนับสนุน

ค. มิตรต่อมิตร พึงสงเคราะห์อนุเคราะห์กัน ตามหลักปฏิบัติในฐานะที่เป็นเสมือนทิศเบื้องซ้าย ดังนี้
- พึงปฏิบัติต่อมิตรสหาย ดังนี้
1. เผื่อแผ่แบ่งปัน
2. พูดจามีน้ำใจ
3. ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
4. มีตนเสมอ ร่วมสุขร่วมทุกข์ด้วย
5. ซื่อสัตย์จริงใจ

- มิตรสหายอนุเคราะห์ตอบ ดังนี้
1. เมื่อเพื่อนประมาท ช่วยรักษาป้องกัน
2. เมื่อเพื่อนประมาท ช่วยรัษาทรัพย์สมบัติของเพื่อน
3. ในคราวมีภัย เป็นที่พึ่งได้
4. ไม่ละทิ้งในยามทุกข์ยาก
5. นับถือตลอดถึงวงศ์ญาติของมิตร

((อ้างอิงจาก หนังสือธรรมนูญชิวิต พุทธจริยธรรมเพื่อชิวิตที่ดีงาม ของ พระเทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ))

แต่ผู้เขียนขอเสนอแนวความคิดจากที่ศึกษาและประสบการณ์ชีวิตไว้ พอได้เป็นสิ่งสะกิดใจเตือนใจของมนุษย์ที่ยังเลอะเทอะคือขาดศีลธรรม จริยธรรมอยู่ในใจและที่ไม่เลอะเทอะคือคนมีศีลธรรม และจริยธรรมอยู่ในใจ จะว่าไปแล้วประสบการณ์ของทุกท่านมีทั้งขมและหวานปนกันไปทุกคนจะเจอเรื่องร้ายที่เจ็บปวดใจหรือเจอเรื่องดีที่สุขใจ แน่นอนว่าปนกันไป จะว่าไปแล้วถ้าคนในสังคมมีหลักปฏิบัติ ด้วยหลัก 4 ศ.นี้สังคมจะดีขึ้นมามาก ดังนี้

หลัก ศ.ศาลา หลัก 4 ศ.

ศ ที่ 1 คือ ศีล มีศีลตามหลักศาสนา ได้แก่ ศีล 5, 8, 10,227 เป็นต้น

ศ ที่ 2 คือ ศิลปะ คือวิธีการดำเนินชีวิตให้สุขุมนุ่มลึกด้วย มีท่วงท่าทำนองในการคิด ในการพูด ในการอ่าน และประกอบอาชีพ อย่างสร้างสรรค์ มีสุนทรียภาพ และการสร้างอารมณ์เย็นๆดีให้แก่ตนเอง คือคุณค่าของความดีความงาม นั้นเอง

ศ ที่ 3 คือ ศาสตร์ มีหลักวิชาความรู้ที่ดี เพื่อการพัฒนาตนเองและประเทศชาติ

ศ ที่ 4 คือ ศาลา หมายถึงเป็นเหมือนศาลาที่คลายร้อนของผู้ตกทุกข์ได้อยากเดือดร้อนหรือเป็นศาลาพักใจ ให้เขาได้คลายร้อนและคลายทุกข์ได้ และสามารถให้เขากลับไปใช้ชีวิตที่ปกติสุขได้ในสังคมที่เอารัดเอาเปรียบกัน ดังเช่นศาลาคอยกันแดด ฝน คือให้เราได้พึ่งพิงได้หายเหนื่อย หายร้อน หายจากการเปียกปอนจากฝน ขอยกตัวอย่างเช่น พระอุดมประชาทร วัดพระบาทน้ำพุ ที่เป็นศาลาที่พึ่งพิงของผู้ป่วยโรคร้าย และ ทางโลกที่เห็นจะรู้จักกันดี คือคุณชัชวาล คงอุดม (ชัช เตาปูน) ที่ให้ทุนการศึกษาแก่คนทั่วไปที่ไม่มีทุนการศึกษาและช่วยเหลือสังคม ดังนี้เป็นต้น ที่ยกตัวอย่างมาคือตัวอย่างที่ดีๆที่ยังมีอยู่ในสังคมไทย สังคมไทยที่จริงคนดีมีเยอะ และคนใจทรามก็เยอะ หากินบนทุกข์คนอื่น


สรุปเหตุที่เขียน 4 ศ. คือต้องการให้คนในสังคมได้ศึกษาและปฏิบัติเพื่อสังคมที่ดีงาม ใครปฏิบัติแบบนี้ได้จะลดปัญหาสังคมได้มากที่เดียว แต่คนไทยบางกลุ่มยังหากินกับความเมตตาและสงสารกับคนใจบริสุทธิ์ใช่ไหม ยังหากินกับความเดือดร้อนของคนอื่นใช่ไหม เลิกเถอะ หลวงพี่ขอร้อง มันไม่แมนไม่เป็นสุภาพบุรุษเลย
.