Welcome to my blogspot

ดาวน์โหลดบทความใหม่ (dwnld)...ร.๕ กับการเสด็จประพาสประเทศอินเดีย...ขอขอบคุณบทความดีๆที่มีให้เราๆได้อ่าน เสริมปัญญา เป็นอาหารสมอง และให้ความรู้ที่ดีที่สุด­เพราะกลั่นมาจากปัญญาแท้ๆ wel 2013 come / Happy new year

หยิบข่าวมาบอก:Breaking News

r

27 มีนาคม 2552

พระพุทธศาสนาในหลวงพระบาง ประเทศลาว










































































































วันที่ 23 มีนาคม 2552 ผู้เขียนถือโอกาสเดินทางไปประเทศลาวเป็นครั้งแรกเดินทางไปรูป /คนเดียว ได้เริ่มต้นที่จังหวัดขอนแก่นโดยสารรถทัวร์ระหว่างประเทศ ขอนแก่น-เวียงจันทร์ รถออก 8:00 โมงเช้า เดินทางไปถึงสถานีรถเวียงจันทร์ เวลา 11:58 เวลาฉันพอดี ฉันกลางวันเสร็จ ได้เดินทางไปสถานีรถสายเหนือ เพื่อเดินทางไปหลวงพระบาง เมื่อได้ไปถึงสถานีรถสายเหนือ สิ่งแรกที่เห็นคือ รถทัวร์ระหว่างประเทศ เวียงจันทร์- คุนหมิง รู้สึกว่าตะลึงในใจว่าที่เวียงจันทร์มีรถทัวร์ไปคุนหมิง ประเทศจีนเลยหรือ และเป็นรถแอร์ A/C ซะด้วย เมื่อก่อนคิดแต่ว่าถ้าจะไปคุนหมิง ประเทศจีน จะมีแค่ 2 ทางคือเดินทางโดยเครื่องบิน และเดินทางทางรถ คือไปทางเหนือจังหวัดเชียงราย แต่ทางนี้ไปค่อยสะดวกนักเพราะต้องล่องเรือก่อน ส่วนมากจะเป็นเรือสินค้าที่มาส่งสินค้าจากจีนที่มาขึ้นท่าน้ำโขงที่จังหวัดเชียงราย แต่พอได้ไปเวียงจันทร์ ประเทศลาว ถึงกับถึงบางอ้อ ว่าถ้าจะไปประเทศจีนสามารถมาขึ้นรถที่เวียงจันทร์ประเทศลาว ได้เลย ราคาตั๋วไปคุนหมิง 600000-800000 kip/กีบ เท่านั้นเอง เมื่อคิดเป็นเงินไทยประมาณ 2,800-3,000 กว่าบาทเท่านั้นเที่ยวเดียว ซึ่งต่อไปในอนาคตคนไทยที่ต้องการไปประเทศจีนเพื่อท่องเที่ยวหรืออะไรก็ตาม หรือขนส่งสินค้าไปประเทศจีน สามารถเดินทางที่ประเทศลาวได้เลย ส่วนตัวเองแล้วเคยเดินทางไป คุนหมิง เมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว ทางเครื่องบิน เดินทางไปเป็นกรุ๊ปทัวร์ เอาละได้จองตั๋วไปหลวงพระบาง ได้รถเวลา 19:30 น. ราคา 950000 kip/กีบ เมื่อคิดเป็นเงินไทย 300 กว่าบาทเอง เป็นรถแอร์ A/C ปรับนอน เมื่อถึงเวลาขึ้นรถมีชาวต่างชาติเช่นญี่ปุ่น อังกฤษ เป็นต้น เป็นอันว่าไม่ได้เป็นชาวต่างชาติรูป/คนเดียว ที่ได้เดินทางในรถเที่ยวนี้ หรือ Trip นี้ การเดินทางได้บรรยากาศเป็นอันมากเพราะเวลา 22:20 ฝนตกตลอดทาง Trip นี้จึงได้บรรยากาศอีกรูปแบบหนึ่ง ถนนคอนกรีตตลอดสาย มีโค้งหักศอก ประมาณ 100 กว่าโค้ง วิ่งไปได้หน่อยรถก็วิ่งโคงไปตามถนนโคงหักศอกซะด้วย ยิ่งกว่าถนนแม่ฮ่องสอนของเรา แต่ไม่เวียนหัว หรือเมารถ ตลอดทางได้มีคนลาวแนะนำหรือคุยกันบนรถตลอด รถจอดพักเวลา 24:20 น. รถจอดพักให้ผู้โดยสารกินข้าว-เข้าห้องน้ำ 20 นาที ฝนยังตกอยู่ เดินทางถึง หลวงพระบาง ตี 5:20 น. นั่งรอที่สถานีรถบ้านนาหลวง,หลวงพระบางจนถึงเช้า ของวันที่ 24 มีนาคม 2552 เดินออกจากสถานีรถไปยังวัดนาหลวง เดินเอาเพราะอยากชมทิวทัศน์ ตอนเดินได้พบเห็นถนนเส้นหนึ่ง เขียนไว้ว่า ถนนมิตรภาพไท-ลาว ซึ่งเป็นถนนที่ก็สร้างด้วยงบอุดหนุนของประเทศไทย มีธงชาติไทยและธงชาติลาวประดับตามถนนเส้นมิตรภาพ ซึ่งได้ถามคนประเทศลาวบอกว่าวันนี้เป็นวันที่จะมีการเปิดเป็นทางการกับทางการไทย คนประเทศลาวบอกว่าถนนเส้นนี้พระเทพ ของไทยทรงสร้าง และพระเทพทรงสร้างโรงเรียนที่หลวงพระบางอีกด้วย คนประเทศลาวทรงชื่นชมและนับถือพระองค์เป็นอันมาก จะเห็นได้ว่าคนประเทศลาวมีความนับถือสถาบันพระมหากษัตรย์ของไทยเป็นอันมาก (ดูที่รูปถ่ายประกอบ) เดินไปเลยๆก็ถึงวัดนาหลวง ตลอดทางเห็นว่าบ้านแต่ละหลังมีจานดาวเทียมทุกบ้าน ดาวเทียมจากประเทศจีนราคาไม่แพง 1,500-2,000 กว่าบาทเท่านั้น รับชมทีวีไทยได้ทุกช่อง คนลาวชอบชมทีวีไทย เดินไปได้สักพักสายตาเหลือบไปเห็นตลาดจีนซึ่งขายสินค้าที่นำมาจากจีนคนขายก็คนจีน เดินเข้าไปชมหน่อยหนึ่ง จึงเดินทางด้วยเท้าต่อไปยังวัดนาหลวง ถึงวัดนาหลวงได้แนะนำตัวกราบเจ้าอาวาส แล้วเข้าพักในอุโบสถหลังเล็กๆ สงค์น้ำ/อาบน้ำแปรงฟัน น้ำเย็นดีเสร็จแล้วเข้าพักผ่อน พระลาวเหมือนพระไทยเราคือเดินรับบาตรจากญาติโยม ทำวัตรเช้า ได้ทำวัตรเช้าและ ฉันเช้าเสร็จ เดินทางไปในตัวเมืองหลวงพระบางเวลา 8:40 น.(เช้า) เพื่อไปกราบพระธาตุภูศรี เมื่อไปถึงพบกับคณะทัวร์คนไทยสนทนากันพอสมควรได้รับคำชมว่าท่านเก่งมากที่มาคนเดียว การเดินขึ้นพระธาตุภูศรี เหนื่อยพอสมควรเพราะอยู่บนเขาต้องเดินตามขั้นบันไดหลายขั้น เมื่อเดินถึงกราบพระธาตุเสร็จนั่งพักชมวิวเมืองหลวงพระบาง ได้พบกับสามีภรรยาคู่หนึ่งชาวกรีก ได้คุยแลกเปลี่ยนสักพัก เราก็บอกว่ากำลังทำปริญญาเอก อยู่ที่มหาวิทยาลัยมคธ(Magadh University) ประเทศอินเดีย สามีฝ่ายหญิงตอบขึ้นมาว่าฉันรู้จักมหาวิทยาลัยมคธ (Magadh University) เพราะฉันเคยไปอินเดียมาก่อนไปหลายที่ ก่อนจะมาประเทศลาว เคยไปมคธ รัฐพิหาร, มุมไบ, กัตกาต้า โอ้ทำให้เราดีใจมากว่าคนกรีกรู้จักมหาวิทยาลัยมคธ (Magadh University) ได้เวลาแล้วจึงเดินลงจากวัดพระธาตุภูศรี เพื่อไปพระราชวังต่อ ที่อยู่ตรงข้ามกันแต่ปิดเพราะเป็นวันพระวันอื่นจึงชมได้แต่ไม่เป็นไร เพราะจุดมุ่งหมายเราไม่ได้เที่ยวแต่เป็นเพื่อการศึกษาด้านวัฒนธรรม,การศึกษาและพุทธศาสนาของประเทศลาวเป็นสำคัญ ผู้เขียนได้เดินเท้าไปถึงวัดศรีพระพุทธบาท ได้พบกับเณรจำนวนมากสอบถามว่า พระ-เณร กำลังสอบระดับมัธยม 1 ถึง 6 ชื่อโรงเรียนมัธยมสงฆ์วัดศรีพระพุทธบาท เป็นโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญศึกษาแบบบ้านเรา มีงบจากรัฐบาลลาวอุดหนุน มีห้องสมุด มีห้องคอมพิวเตอร์ ครูส่วนใหญ่เป็นฆราวาสที่ส่วนใหญ่จบจากที่ ร.ร. มัธยมสงฆ์ แล้วไปศึกษาต่อปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยของลาวหรือเอกชนจนจบ บางส่วนก็เดินทางมาศึกษาที่มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ประเทศไทย ซึ่งได้รับคำชมจากพระ-เณรประเทศลาวอย่างมากจะเห็นได้ว่าการศึกษาของคณะสงฆ์ลาวในหลวงพระบางเข้มแข็งและมีหลักสูตรที่ดีพอสมควรและการบริหารใช้ได้ มีพระ-เณร เรียนอยู่ประมาณ 800 รูป/คน ซึ่งการศึกษาของพระ-เณร ในหลวงพระบางมีอนาคตสดใสทีเดียว ได้คุยกับผู้บริหารโรงเรียนเสร็จแล้วได้บริจาคเงินช่วยการศึกษาโรงเรียนมัธยมสงฆ์จำนวนหนึ่ง ได้ใบขอบคุณ จึงเดินทางออกจากวัด ถ้าพระผู้ใหญ่ของไทยหรือผู้บริหารมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย คิดการไกลคือคิดจะเป็นไปเปิดศูนย์การศึกษาระดับปริญญาตรี -โท ที่เมืองหลวงพระบาง ย่อมสดใสและไปได้ไกลทีเดียว แทนที่จะให้พระ-เณร ประเทศลาวเข้ามาศึกษามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ในประเทศไทย เราก็ไปเปิดศูนย์ที่เมืองหลวงพระบางเสียเลยเป็นการส่งเสริมพระ-เณร ประเทศลาวได้มีการพัฒนาการศึกษาที่ดียิ่งๆขึ้นได้เรียนรู้ศาสตร์ชั้นสูง พอถึงเวลา 11:30 น. ได้เวลาฉันกลางวันหยุดพักที่ร้านแห่งหนึ่ง ฉันเสร็จแล้วจึงได้เดินทางไปชมน้ำตกกวงสีหรือชีกวง เดินทางไปโดยรถสองแถวเล็กรับจ้างซึ่งเหมา3 คนขึ้นไปถึงจะออกรถเพราะแชร์ค่าโดยสารกันได้ราคาถูกลง ถ้าไปคนเดียวแพง ได้โดยสารไปกับชาวต่างชาติ ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง รถรอรับกลับเข้าเมืองหลวงพระบางด้วยโดยให้เวลาเที่ยวชมนำตก 3 ชั่วโมง ตลอดทางจะมีภูเขาแต่ขาดต้นไม้ เพราะโดนตัดไปหมด จะมีก็แต่ต้นไม้เล็กๆ กลางๆ และมีบ้านเรือนเป็นกลุ่มๆ (ดูรูปประกอบ) ถึงน้ำตกได้เดินเข้าไปชมน้ำตกมีการเก็บตั๋วค่าเข้าไปชมและเล่นน้ำแต่ของพระเข้าไปเที่ยวได้เลยไม่เก็บตั๋วไม่เก็บเงิน ทางเดินสะดวกไปถึงน้ำตก น้ำเป็นสีฟ้าสวยดีซึ่งแปลกมาก ปรกติน้ำที่เกิดจากน้ำตกน้ำจะใสสีเหมือนน้ำธรรมดาทั่วไป แต่น้ำตกที่กวงสีน้ำเป็นสีฟ้าสวยดี มีชาวต่างชาติลงเล่นน้ำมากพอสมควร ได้เจอกับทัวร์คนไทยคุยกันหน่อยหนึ่ง จึงได้เวลาเดินทางกลับเมืองหลวงพระบาง ถึงเวลา 17:15 น. เดินเท้าหาวัดพักกลางคืนได้พักที่วัดห้อเซียง เจ้าอาวาสชื่อครูบาโพธิ์ทอง สุขะวโร ท่านเมตตาให้พักกุฏิเดียวกับท่านแต่คนละห้อง ได้ทำวัตรเย็นที่วัดห้อเซียง มีเณรหลายรูปมาพูดคุยด้วยคุยดีมาก ครูบาโพธิ์ทอง สุขะวโร ท่านก็ได้มาสนธนาด้วย ท่านพูดคุยเรื่อง สังคมเปาะเปื้อน ด้วยยุคโลกาภิวัฒ์และการสื่อสาร เหมือนเทศนาธรรม ได้ถามตอบข้อปัญหากันตลอดได้สาระมาก แล้วประมาณ 20:30 ต่างก็แยกย้ายเข้าที่พัก ถึงเวลาเช้าของวันใหม่วันที่ 25 มีนาคม 2552 ลุกอาบน้ำแปรงฟัน/สงค์น้ำ พระ-เณร ออกบิณบาตร ทำวัตรเช้ารูป/คนเดียว ฉันเช้ากับครูบาโพธิ์ทอง สุขะวโร ได้เวลาเดินทางออกเดินทางจากวัดฮ้อเซียง เวลา 9:00 น. โดยเดินเท้าไปยังราชวัง มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเยอะพอสมควร ชมพระราชวังพอประมาณ แต่ไม่ได้เข้าไปข้างในเพราะโดนเก็บคาเข้าชม ประมาณ 30000 kip/กีบ เลยได้แต่ถ่ายรูปอยู่ด้านนอกอย่างเดียว ได้พบกับสองสาวคนไทยที่ไปกันแค่สองคนอายุประมาณ 20ต้น คุยกันสักพัก แล้วเดินเท้าต่อไปยังวัดเชียงทอง กลางทางได้เจอพอค้าของป่านำน้ำผึ่งเดือน 5 ซึ่งเก็บมาจากป่านำมาขาย มาบีบเอาน้ำผึ่งกันสดๆ อยู่หน้าร้านเอเย่นซี่ตั๋วเครื่องบินและแลกเปลี่ยนเงิน คุณโยมเจ้าของร้านเป็นผู้หญิงวัยสูงอายุ ได้พูดคุยกันนิดหน่อย คุณโยมได้ถวายน้ำผึ่งเดือน 5 มาหนึ่งขวด และได้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกร่วมกัน แล้วเดินเท้าต่อไปถึงยังวัดเชียงทอง ซึ่งมองเห็นอุโบสถเป็นสีทองอร่ามทั้งหลัง สวยมาก เดินชมสักพัก ได้ถ่ายรูปเก็บไว้แล้วเดินทางด้วยเท้า( By Walk) อีกเช่นเดิมกลับไปยังวัดฮ้อเซียง แต่ขากลับได้หยุดแวะที่โรงเรียนประถมหลวงพระบาง เข้าไปดูการจัดการเรียนการสอน ได้พูดคุยคุณครูที่สอน ผู้อำนวยการไม่อยู่ไปราชการ โรงเรียนประถมในหลวงพระบาง หรือในประเทศลาว มีแค่ ประถมศึกษาปีที่ 5 ไม่มีประถม 6 เหมือนบ้านเรา ได้คุยกับคุรครูอยู่สักพักหนึ่งถ่ายรูปร่วมกัน แล้วได้บริจาคเงินจำนวนหนึ่งอุดหนุนโรงเรียนประถมหลวงพระบาง แล้วเดินเท้ากลับไปยังวัดฮ้อเซียง แต่ขากลับเดินไปเห็นมีถนนให้เลี้ยวซ้าย เลยลองเดินเลี้ยวซ้ายไป เอาละซีพบสองสาวคนไทยเช่ารถจักรยานปั่นรอบเมืองเวียงจันทร์ สองสาวยิ้มและทักทายก่อนปั้นต่อไป เดินเท้าไปได้สักพักสายตาเหลือบไปเห็นตลาดดารา (DARA MAKET)ชื่อนี้จริงๆ เลยลองเดินเข้าไปเป็นศูนย์แสดงสินค้าพื้นเมืองของหลงพระบางมีผ้าถุงไหม และอื่น และมีร้านขายโทรศัพท์มือถือจากประเทศจีนเป็นส่วนใหญ่คนขายก็มาจีนเดินทางมาจากเมืองคุนมิง นั้นเอง รถยนต์ส่วนใหญ่นำเข้ามาจากจีนเหมือนกัน ได้เวลาพอสมควรจึงเดินทางด้วยเท้า (By Walk) อีกเช่นเคย ถึงเวลา 11:30 น. ได้หยุดรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านส้มตำ ไก่ย่าง ริมน้ำโขง ฉัน/รับประทานเสร็จ จึงได้เดินทาง (By Walk) เหมือนเดิมไปถึงยังวัดฮ้อเซียง สงค์น้ำ/อาบน้ำแก้ร้อน พักผ่อนจนถึง 15:00 น. เตรียมตัวเพื่ออกเดินทางไปยังสถานีรถบ้านนาหลวง ก่อนนออกจากวัดได้พูดคุยกับพระท่านหนึ่ง ท่านคุยดีมาก ท่านชงกาแฟให้ฉัน/ดื่ม คุยกันได้สักพักจนถึง 16:00 จึงได้กราบลาเจ้าอาวาสครูบาโพธิ์ทอง พร้อมบริจาคเงินช่วยเหลือค่าสร้างศาลาไปนิดหน่อย แล้วเดินทางออกจากวัดฮ้ฮเซียง ที่นี้ไม่เดินแล้วนั่งสามล้อเครื่องไปยังสถานีรถบ้านนาหลวง เพราะหนทางไกลสมควร ขึ้นรถไปยังเวียงจันทร์ เพื่อนั่งรถทัวร์ กลับเข้าประเทศไทย ไปถึงสถานีรถบ้านนาหลวง ได้ตีตั๋วกลับเวียงจันทร์ ได้รถเวลา 19:30 น. รถแอร์ A/C VIP นั่งรอรถที่สถานี ได้เจอกับ โยมสองสาวคนไทยที่จะเดินทางกลับไปเวียงจันทร์เพื่อกลับเข้าไทยเหมือนกัน สองสาวได้รถเที่ยวเดียวกัน สรุปว่าขากลับได้กลับกับคนไทยด้วยกัน ขากลับอีกเช่นเคยได้ทอสอบทาง 100 โค้งหักศอก อีกเช่นเคยตลอดทาง รถจอดแวะกลางทางเพื่อรับประทานอาหาร เวลา 24:20 น. ลมแรงฝนตกนิดๆ เดินทางต่อไปยังเวียงจันทร์ กำลังหลับบนรถสบาย รู้สึกว่ารถได้จอดนานพอสมควร จึงเดินลงจากรถ พบรถทัวร์ที่มุ่งหน้าไปเวียงจันทร์เหมือนกัน ที่ออกมาจากหลวงพระบาง เวลา 18:45 น. ตกอยู่ริมทางถนนรถเสียหลักนิดน้อย อยู่ใกล้ๆบ้านคน ไม่ชนเข้ากับอะไรและไม่พลิกคว่ำ ผู้โดยสารยังยิ้มได้ไม่มีบาดเจ็บ ผู้โดยสารช่วยกันยู้รถหรือลากรถเพื่อให้พ้นขี้โคลนซึ่งล้อติดอยู่ (ถนนที่ไปหลวงพระบางไม่น่ากลัวอย่างที่คิดแม้จะมี 100โค้งหักศอก อย่าได้กังวลว่าจะเกิดอุบัติเหตุตกเหวตกเขาเพราะถนนตัดเข้ามาข้างในลึกมากและมองไม่มีข้างล่าง) ซึ่งทำได้สำเร็จ รถสามารถเดินทางต่อไปได้ แล้วขึ้นรถเดินทางต่อไปถึงเวียงจันทร์โดยสวัสดิภาพ (สะบายดี) ถึงเวียงจันทร์ 6:30 น. ของวันที่ 26 มีนาคม 2552 ล้าช้ากว่าเวลา 1 ชั่วโมงกว่าๆแต่ไม่เป็นไร ได้เวลาฉัน/รับประทานอาหารเช้าที่เวียงจันทร์ นั่งรถไปยังสถานีสายใต้ เพื่อตีตั๋วรถทัวร์กลับเข้าไทย ได้รถเวลา 14:45 น. ก่อนกลับเวลายังอีกเยอะได้เดินทางไปยังประตูเมืองเวียงจันทร์ ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ได้เดินเท้าต่อไปยังวัดธาตุ ถ้าจำไม่ผิด กราบไหว้พระธาตุแล้วเสร็จ มีกรุ๊ปทัวร์คนไทยไปเที่ยวพอสมควร เสร็จแล้วได้เวลากลับไปยังสถานีรถ ที่นี้ไม่เดินแหละนั่งสามล้อเครื่องกลับถึงสถานีรถ ได้เวลาฉัน/รับประทาน อาหารกลางวันที่สถานีรถ นั่งรอจน 14:45 น. เดินขึ้นไปยังรถทัวร์ระหว่างประเทศไทย-เวียงจันทร์ รถวิ่งถึงด้านตรวจคนเข้าเมืองหยุดตีตรา (Passport) เข้าประเทศไทย แล้วเดินทางต่อไปยังจังหวัดขอนแก่นถึงขอนแก่น 18:35 น. ถึงโดยสวัสดิภาพ Trip นี้ใช้จ่ายแค่ 3,000 บาท (ไม่มีแม่ยกถ้ามีสบายอีกเยอะฮิฮิ) ตลอดการเดินทางในเมืองหลวงพระบางและเวียงจันทร์ ได้ความรู้มากมายและได้ทั้งบุญ เมืองหลวงพระบางจึงเป็นแหล่งพระพุทธศาสนาที่ควรศึกษาอีกที่หนึ่ง (สะบายดีหลวงพระบาง).

18 มีนาคม 2552

การจัดอันดับมหาวิทยาลัย 200 แห่งทั่งโลก และ 100 แห่งของเอเซีย ปี 2009

ปี 2009 หรือปี พ.ศ. 2552 การจัดอันดับมหาวิทยาลัยของโลก ได้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ในการจัดอันดับของ4 International Colleges & Universities เว็บไซต์ http://www.4icu.org ได้จัดอันดับมหาวิทยาลัย โดยการแบ่งเป็น 200 แห่งทั่วโลก หรือ Top 200 Universities in the world และของเอเซียมี 100 แห่ง หรือ Top 100 Universities in Asia จึงได้นำมาเขียนเพื่อให้ท่านได้รู้ จะแน่นที่มหาวิทยาลัยของไทยเป็นสำคัญ โดยเริ่มจากการจัดอันดับมหาวิทยาลัย 200 แห่งทั่วโลก ดังนี้ 1.Top 200 Universities in the world จะเริ่มตั้งแต่ 10 อันดับแรก 1-7 ส่วนอันดับ 8 เป็นของมหาวิทยาลัยอังกฤษ และอันดับ 9 เป็นของมหาวิทยาลัยของอเมริกา ส่วนอันดับที่ 10 เป็น มหาวิทยาลัยของเอเซีย อยู่อันดับ 10 ได้แก่ Shanghai Jiao Tong University มหาวิทยาลัยของประเทศจีน หนึ่งเดียวของเอเซียที่สามารถไปอยู่อันดับ 10 ได้ แซงทางโค้งมหาวิทยาลัยของในยุโรปไปได้ ขอชื่นชมกับมหาวิทยาลัยของจีนด้วย เราๆท่านๆรู้อยู่แก่ใจว่าค่าเล่าเรียนในมหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกานั้นแสนแพง ไม่สนองต่อความต้องการศึกษาของคนทั่วโลกเท่าไร เพราะคนจะเรียนที่อเมริกาได้ต้องมีเงินเยอะ หรือคนรวยนั้นเอง ไม่ค่อยจะเป็นธรรมสำหรับคนเบี้ยน้อยหอยน้อยสักเท่าไรคือคนเงินน้อยนั้นเอง และขัดต่อสิทธิเสรีภาพของอเมริกาอีกต่างหาก เพราะอเมริกามีหลักว่าสิทธิและเสรีภาพของคนต้องเท่าเทียมกันนั้นเอง อเมริกาต้องลดค่าเล่าเรียนให้ถูกลงมากๆจะดีมาก และอเมริกาเองก็ไม่รู้ว่าคนที่มีเงินมากๆที่มีโอกาสไปเรียนที่อเมริกา บางทีก็ได้เงินมาจากธุรกิจผิดกฏหมายต่างๆ เช่นมาจากการค้ายาเสพติด ธุรกิจค้าของเถื่อนและของเทียมเช่นอะไหล่ชิ้นส่วนรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ ซึ่งในตลาดมีเยอะมากสามารถครองตลาดประมาณ 70%และมีรายได้มโหฬารจนร่ำรวย หรือ น้ำหอม เสื้อผ้าอาภรณ์ต่างๆ ดังนั้นมหาวิทยาลัยของอเมริกาจึงเปรียบเป็นที่ฟอกตัวและฟอกเงินของลูกหลานพวกค้ายาเสพติดหรือทำธุรกิจผิดกฏหมายต่างๆของคนทั่วโลก ที่สามารถหลีกเลี่ยงกฏหมายไปได้ อันนี้ไม่นับรวมคนดีๆที่ครอบครัวทำธุรกิจถูกต้องหรือได้ทุนเรียน เพราะคนที่อยากไปศึกษาในอเมริกามีมากแต่ไม่มีโอกาส เพราะอเมริกาตั้งเป้าเรื่องค่าเทอมที่แพงเกินไป เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมของคนทั่วทั้งโลกอเมริกาควรลดค่าเทอมหรือค่าเล่าเรียนให้ถูกลงมาก เอาละที่นี้ก็ขอชื่นชมมหาวิทยาลัยของประเทศจีนซึ่งอยู่ในโซนเอเซียเช่นเดียวกับประเทศไทย ที่สามารถอยู่ใน Top 10 ของโลกได้ ส่วนอันดับโลกของมหาวิทยาลัยของประเทศไทย อยู่ในอันดับที่ 116 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อันดับที่ 172 มหาวิทยาลัยขอนแก่น อันดับที่ 196 มหาวิทยาลัยมหิดล ขอแสดงความยินดีกับมหาวิทยาลัยของไทย ที่นี้มาดูมหาวิทยาลัยของประเทศอินเดียที่ผู้เขียนทำปริญาเอกอยู่ อันดับของโลกที่ดีที่สุดของมหาวิทยาลัยอินเดียอยู่ในอันดับที่ 20 หรือ Top 20 In The World ได้แก่ Indian Institute of Technology, Madras และอันดับที่ 27 เป็นของมหาวิทยาลัยอินเดีย ได้แก่ Indian Institute of Technology Bombay ปัจจุบันคือ Mumbai อันดับที่ 35 ได้แก่ Indian Institute of Technology, Kanpur และมหาวิทยาลัยอื่นๆอีก 7 แห่ง มหาวิทยาลัยของอินเดียได้รับการปูพื้นฐานจากประเทศอังกฤษเป็นทุนเดินอยู่แล้ว ฉะนั้นแล้วเรียนอยู่ประเทศอินเดียเหมือนเรียนอยู่ในประเทศอังกฤษหรือในอเมริกาอย่างไรอย่างนั้น เพราะหลักสูตรและภาษาอังกฤษของอินเดียดีมากๆ และการร่วมมือกับมหาวิทยาลัยชั้นนำต่างๆของโลกและด้วยศักยภาพของอินเดีย และไม่ใช่แหล่งฟอกตัวของลูกหลานค้ายาเสพติดหรือพวกทำธุรกิจผิดกฏหมาย อินเดียไม่ใช่แหล่งที่น่าพิศมัยเพราะความที่อินเดียยังพัฒนา ของพวกเขาเหล่าที่ต้องการไปฟอกตัวและฟอกเงิน แต่ผู้เขียนไม่คิดอย่างนั้นผู้เขียนคิดว่าประเทศอินเดียมีวัฒนธรรม โบราณสถานที่เก่าแก่ และเป็นดินแดนของพระพุทธศาสนา และเป็นต้นกำเนิดมหาวิทยาลัยแห่งแรกของโลก คือมหาวิทยาลัยนาลันทา และเป็นต้นกำเนิดของหมอชีวกฯบิดาเจ้าตำหรับยาสมุนไพร และอื่นๆอีกมากมายในปัจจุบันเช่น ศูนย์อวกาศเมืองสาธิตดาวัน รัฐทมิฬนาฑู ประเทศอินเดีย หรือ (Indian Space Research Organisation : ISRO)อินเดียสามารถส่งยานอวกาศไปสำรวจดวงจันทร์ได้สำเร็จ เมื่อวันที่ 22 ต.ค.51 ตามเวลาประเทศไทย และแหล่งคอมพิวเตอร์ หรือ (software)ที่ดีแหล่งหนึ่งของโลก ดังนั้นประเทศอินเดียจึงเป็นแหล่งน่าศึกษาในการหาความรู้มากในด้านต่างๆเช่น ศาสนา วัฒนธรรม โบราณสถาน เทคโนโลยี แห่งหนึ่งของโลก และที่น่าชื่นชมมหาวิทยาลัยของอินเดียคือ ค่าเล่าเรียนไม่แพง ย้ำอีกที่ว่าไม่แพง แต่มากด้วยคุณภาพ ที่สามารถติดอันดับ Top 200 In The World ได้ทั้งหมด 10 แห่ง ของไทย 3 แห่ง ส่วนทางด้านมหาวิทยาลัยของเอเซีย 100 อันดับ หรือ 2.Top 100 Universities in Asia อันดับของมหาวิทยาลัยของไทย ที่ดีที่สุด อันดับที่ 25 ได้แก่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อันดับที่ 31 มหาวิทยาลัยขอนแก่น อันดับที่ 37 มหาวิทยาลัยมหิดล อันดับที่ 41 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขอแสดงความชื่นชมมหาวิทยาลัยของไทยในที่นี้อีกครั้ง ส่วน อันดับ 1 หรือ Number 1 ได้แก่ Shanghai Jiao Tong University มหาวิทยาลัยเชียงไฮ้ ของประเทศจีน อันดับ 2 ของสิงค์โปร และ 3 ของญี่ปุ่น และมาดูมหาวิทยาลัยของอินเดีย อันดับที่ดีที่สุดคือ อันดับที่ 6 ได่แก่ Indian Institute of Technology, Madras และอันดับที่ 9 ได้แก่ Indian Institute of Technology Bombay อันดับที่ 14 Indian Institute of Technology, Kanpur มหาวิทยาลัยของอินเดียติดอันดับเยอะมากของเอเซีย ดังนั้นจึงขอแสดงความยินดีและชื่นชมกับมหาวิทยาลัยของประเทศทั้งหลายที่ติดอันดับโลกในที่นี้ ท่านที่ต้องการศึกษาเพิ่มเติม ศึกษาและดูได้ที่เว็บไซต์ http://www.4icu.org/topAsia/ Last update: 14/03/2009.

06 มีนาคม 2552

พระพุทธศาสนาในรัฐอัสสัม ประเทศอินเดีย







อินเดียเป็นแหล่งอารยะธรรมโบราณที่เก่าแก่อีกที่หนึ่งที่น่าศึกษา มีสิ่งที่น่าศึกษาอยู่มากมีศาสนาที่เกิดขึ้นในอินเดียมากมาย ตามที่เรารู้จัก คือ พุทธศาสนา ฮินดู เชน เป็นต้น ความรุ่งเรืองของอินเดียมีมาก่อนสมัยประวัติศาสตร์ และมีเส้นทางสายไหม ที่เป็นเส้นทางค้าขายไปยังโลกตะวันตก ความเจริญของพระพุทธศาสนาเป็นที่ตะหนักแก่ชาวโลกในปัจจุบัน เพราะมีโบราณสถานของพระพุทธศาสนามีมากมายหลายประเทศ เช่น อัฟกานิสถาน ที่มีโบราณสถานทางพระพุทธศาสนามากมาย แต่ถูกพวกตาลีบัน สั่งทำลาย จนมีการเรียกร้องจากองค์กรต่างๆในโลกให้หยุดกระทำแต่ไม่สำเร็จผล ผลสุดท้าย โบราณสถานถูกทำลายไป แต่สุดท้ายพวกตาลีบัน โดนกองทัพสหรัฐอเมริกาเข้าโจมตีฝ่ายตาลีบัน จนตาลีบันแตกกระจายไป พระพุทธศาสนาได้กระจายไปเกือบทั่วโลก และเข้ามาในไทย สมัยที่รุ่งเรืองคือสมัยสุโขทัย อยุธยา และกรุงรัตนโกสินทร์ ในปัจจุบัน ซึ่งมีประจักษ์เป็นโบราณสถานพระพุทธศาสนามากมายในกรุงสุโขทัย จวบจนปัจจุบัน ได้แก่ อุทยานแห่งชาติเมืองเก่า และศรีสัชนาลัย เป็นต้น พระพุทธศาสนาในอินเดียปัจจุบัน ได้รับการฟื้นฟูจากพุทธศาสนานิกชน จากชาวอินเดียและจากนานาชาติ หนึ่งนั้นคือประเทศไทย แต่ครั้งนี้จะนำเรื่องพระพุทธศาสนา ในรัฐอัสสัม ( Assam) ประเทศอินเดีย มาบอกกล่าวเล่าสิบเป็นบทความเล็กๆดังนี้ ในรัฐอัสสัม มีพระพุทธศาสนาที่เหมือนกับประเทศไทย มีพระ มีวัด มีอุบาสก อุบาสิกา และมีคนไทย แต่เป็นคนอินเดียในปัจจุบัน พูดภาษาไทยได้ อยู่หมู่บ้านชื่อ นำพ่าเก ( Namphake) ที่รัฐอัสสัม ประเทศอินเดีย นับถือพระพุทธศาสนา มีคนไทยที่เดินทางไปศึกษาพี่น้องคนไทยที่รัฐอัสสัม อยู่บ่อยครั้ง เพื่อศึกษาวิถีชีวิตคนไทยชาว นำพ่าเก ท่าน ส. ศิวรักษ์ ได้เคยไปสัมพัสกับชีวิตจริงของ ชาวไทยนำพ่าเก แล้วนำมาเขียนชื่อว่า ไปเยี่ยมคนไทในรัฐอัสสัม ดังนี้
เรานั่งรถไปไกลจากเมืองศิวะสาคร สู่หมู่บ้านไทผาแก่ ไปที่วัดพุทธศาสนา ตรงกับวันเถลิงศก ๑๕ เมษายน ไปทำบุญร่วมกับคนไทที่นั่น ได้สาดน้ำกัน ได้สรงน้ำพระ ซึ่งมี ๔ รูป เณร ๕ รูป เณรน้อยสวดมนต์ได้คล่องและยาว แต่ตอนสรงน้ำ ชาวบ้านแกล้งรดน้ำบนศีรษะเณรจนเปียกปอน พอชาวบ้านนั่งรับพรพระ เณรก็ออกฤทธิ์ เอาน้ำสาดชาวบ้านให้เปียกโชกไปด้วยเหมือนกัน นับว่าเป็นกันเองอย่างไม่ดัดจริตเอาเลย
ที่วัดนี้ เราเจอคนไทผาแก่ที่เคยทำงานร่วมกับอาจารย์บรรจบ พันธุเมธา ซึ่งเป็นผู้บุกเบิกทางด้านนี้ ดังเรื่อง กาเลหม่านไต ของท่านเป็นพยาน และได้พบกับคนที่เคยทำงานกับอาจารย์ฉัตรทิพย์ นาถสุภา อีกด้วย ส่วนคนที่เขียนเรื่องสงกรานต์กับคนไทยในอัสสัมที่สนุกที่สุด เห็นจะได้แก่นายสุจิตต์ วงษ์เทศ ซึ่งไปกับนายไกรศรี นิมมานเหมินท์ จนไปเกิดอาการขลึกขึ้นอย่างที่อ่านแล้วต้องหัวเราะกลิ้งไปเลย ไม่รู้ว่าศิลปวัฒนธรรม จะเอามาพิมพ์ซ้ำให้ได้อ่านกันอีกหรือไม่ ยังที่สารนาถ ( สังข์ พันธโนทัย) เขียนเล่าสมัยไปรัฐอัสสัมเมื่อกว่าสามสี่ทศวรรษมาแล้ว ก็ยังน่าหามาอ่านกันอยู่อีก ...ที่มา http://www.semsikkha.org/review/.
และอีกคณะที่เคยเดินทางไปศึกษาภาษาไท ที่หมู่บ้านนำพ่าเก ได้แก่ คณะมนุษยศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ ได้นำเรื่องราวของคนไทยเช่นเดียวกับเราที่พูดภาษาไทย แต่ของชาว นำพ่าเก จะเป็นภาษาไทยแท้ๆ ส่วนของคนไทยเรามีคำของบาลีและสันกฤต อยู่มาก ซึ่งเป็นอิทธิพลของพระพุทธศาสนา และแถมหน้าตาเป็นเหมือนกับเรา ถ้าไม่อยู่ที่รัฐอัสสัม เราจะคิดว่าเป็นคนไทยเรานี้เอง ชาวไทยนำพ่าเก นับถือพระพุทธศาสนา มีวัด มีพระ มีเณร แบบบ้านเรานี้แหละ พิธีกรรมเของพระพุทธศาสนามีลักษณะเหมือนกับของไทยไม่แตกต่างกัน ลักษณะภาษาไทย ของชาวนำพ่าเก ในรัฐอัสสัม มีดังนี้
อ้าย คือลูกชายคนโต, ยึ่ ลูกคนที่สอง ,สามลูกคนที่สาม, สี่ ลูกคนที่สี่,ปัญจ ลูกคนที่ห้า,หนุ๊ก ลูกคนที่หก,เจ๊ด ลูกคนที่เจ็ด,แป๊ด ลูกคนที่แปด,เกา ลูกคนที่เก้า, ซิ๊บ ลูกคนที่สิบ , หรือจะใช้เรียกจำนวนนับอื่นๆ ก็ได้
และเมื่อไม่นานมานี้เมื่อเดือนที่แล้วสมเด็จพระเทพ ฯทรงเสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมชาวไทย นำพ่าเก อีกด้วย สภาพบ้านเมืองของชาวไทยนำพ่าเก เป็นแบบธรรมชาติๆเหมือนเมืองไทยสมัยก่อนเมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว ผู้เขียนเองถ้ามีโอกาสจะต้องเดินทางไปศึกษาคนไทย ชาวนำพ่าเก ในรัฐอัสสัม ประเทศอินเดียให้ได้สักครั้งหนึ่ง และศึกษาด้านพระพุทธศาสนาของชาวไทนำพ่าเก ให้ละเอียดอีกอีกครั้งหนึ่ง. ที่มาของรูปและศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับชาวไทยนำพ่าเกที่ http://www.siamensis.org/board/9160.html
......................................................................................................................................