Welcome to my blogspot

ดาวน์โหลดบทความใหม่ (dwnld)...ร.๕ กับการเสด็จประพาสประเทศอินเดีย...ขอขอบคุณบทความดีๆที่มีให้เราๆได้อ่าน เสริมปัญญา เป็นอาหารสมอง และให้ความรู้ที่ดีที่สุด­เพราะกลั่นมาจากปัญญาแท้ๆ wel 2013 come / Happy new year

หยิบข่าวมาบอก:Breaking News

r

21 มิถุนายน 2553

รักกันให้ถูกทาง ด้วยหลักทิศ 6

ปิยานัง อทสฺสนัง ทุกขัง การพลัดพรากจากสิ่งที่เรารักก็เป็นทุกข์

เกริ่นนำด้วยพุทธศาสนสุภาษิตที่น่าเศร้าใจ เป็นการวิจัยชีวิตของพระพุทธเจ้าที่ทรงค้นพบสัจจะธรรมข้อนี้ สามีและภรรยา พ่อ แม่ ลูก หรือญาติ เมื่อเช้ายังเห็นกันเนื่องๆ แต่ตกบ่ายจากกันเสียแล้วยังไม่ทันได้สั่งเสียสั่งลากัน หรือมีโอกาสได้สั่งเสียกัน ของที่เป็นที่รักก็มาจากให้ทุกข์ใจนักหนาเพราะเป็นบ่วงคลองคอกัน ผิวพรรณที่เคยอวบอัด ก็มาเหี่ยวย่นลง ผมที่เคยดกดำ กับหลุดหายไป สายตาที่เคยมองชัดกับพร่ามั่ว ดังนี้เป็นต้น เพราะมีเวลาเป็นตัวกำหนด หรือกรรม ที่แปลว่าการกระทำ ถ้าคิดให้ดีๆ คนเรามาพบกันก็เเพราะแรงกรรมในกุศล จึงได้เกิดมาพบกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะรู้จักกันหมดทุกคน เราจะสนิทกับคนที่รู้จักเท่านั้น จริงนะ จริง เพราะความดีความชั่วมันต่างกัน จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เราจะเลือกคบคน ฉะนั้นเกิดมาแล้วจะมุ่งแสวงหาอะไรจนเกินไปเล่า เอาแต่พอดี ตามความสามารถ และสร้างกุศลไว้บ้าง เพราะตายไปก็เอาไปไม่ได้สักอย่างมีแต่ความดีที่ตายไปกับเราเท่านั้นเอง พระพุทธเจ้าไม่เคยบอกว่าความรักไม่ดี แต่พระพุทธเจ้ากับสอนให้รักโดยใช้สติ รักอย่างให้เหตุผล ให้ความรักที่ถูกต้องดีงาม รักแล้วมีแต่สุข ทุกข์สิ้นไปด้วยซ้ำ เห็นจะมีอยู่ในหลักธรรมของพระพพุทธศาสนา คือเรื่องทิศทั้ง 6 เป็นความรักที่มอบให้กันที่ดีสุดในโลก นอกจากสูตรอื่นแล้วไม่เห็นจะมีสูตรไหนที่ดีไปกว่า พระสูตรเรื่อง ทิศทั้ง 6 ได้ไปกว่านี้

ทิศทั้ง 6 มีดังนี้
1. ทิศเบื้องหน้า ได้แก่บิดามาดา
2. ทิศเบื้องขวาได้แก่ ครู อาจารย์
3. ทิศเบื้องหลังได้แก่ สามีภรรยา
4. ทิศเบื้องซ้ายได้แก่ มิตรสหาย
5. ทิศเบื้องบนได้แก่ พระสงฆ์ สมณะพราหมณ์
6. ทิศเบื้องล่างได้แก่ นายจ้างกับลูกจ้าง

แนะนำท่านอ่านเพิ่มเติมได้ http://www.learntripitaka.com/scruple/thit6.htm แล้วท่านจะเข้าใจหลักทิศ 6 ได้มากขึ้น

นับได้ว่าเป็นความรักความผูกมิตรที่ดีต่อกัน ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้มอบให้กับศานสนิกชนโลกเลยก็ว่าได้ โดยให้ปฏิบัติต่อกันด้วยความรักความเข้าใจที่ดีต่อกัน เป็นความรักที่มอบให้กันอย่างเป็นระบบระเบียบที่เจริญใจในศีลธรรม เช่น ความรักของสามีภรรยา ความรักของพ่อ แม่ ที่มีต่อลูก ความรักของลูกที่มีต่อพ่อ แม่ ความรักของอาจารย์ที่มีต่อศิษย์ และศิษย์ต่ออาจารย์ ความรักต่อเพื่อน ดงนี้เป็นต้น เพียงแต่พระพุทธเจ้าท่านเพียงแค่บอกว่า เมื่อเราจากสิ่งเป็นที่รักไปเสียแล้วมันเป็นทุกข์ ก็ทุกข์จริง วิธีแก้ทุกข์คือรู้เท่าทันตามความเป็นจริงนั้นเอง ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงมอบความรู้ให้เราได้คิด ได้เดินตามและให้คลายทุกข์ เพราะอะไรท่านทรงเห็นว่ามนุษย์เรารักสุขเกลียดทุกข์กันแทบทั้งสิน พระพุทธใช้จึงพระปัญญาหาความรู้จึงได้ความรู้ที่ใช้เป็นแนวทางการดับทุกข์ หรือใช้หลักอริยสัจจ์ 4 แก้ไขทุกข์ พระพุทธเจ้าไม่ได้ต้องการให้ทุกคนต้องเป็นพระอรหันต์หรือนิพพานกันหมดนะ หรือเป็นได้ก็แค่อรหันตมุด คือไม่ถึงพระอรหันได้แต่เฉียดไปเฉียดมา ก็ใกล้แต่ไม่ถึง แต่ยังดีนะ พระพุทธเจ้าจึงมีหลักความรู้ในการปฏิบัติให้แก่มวลมนุษย์โลกเพื่อสร้างปัญญาให้ได้คิดและปฏิบัติ ว่าอยู่และดำเนินชีวิตอย่างไรให้มีสุขและรักกันและเกิดความร่มเย็นในชุมชน สังคม ประเทศชาติและทั่วโลกก็ว่าได้ เพราะเป็นการวิจัยของพระพุทธเจ้าท่านแล้ว 500 ชาตินะ กว่าที่พระพุทธเจ้าจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าแล้วถึงพระนิพพาน ฉะนั้นใครบอกชาตินี้ชาติเดียวจะสำเร็จแล้วไม่เกิดอีกคงเชื่อได้ยาก และก่อนพระพุทธเจ้าจะทรงออกผนวชก็ทรงมีพระมเหสีและมีพระโอรส แต่พระองค์ก็ทรงดำเนินการตามแนวทางที่จะทรงช่วยมนุษย์โลกนี้ได้มากกว่าต่อไปภายหน้าด้วยการสร้างปัญญา พระองค์ก็ทรงละเสียความสุขส่วนพระองค์ แล้วทรงศึกษาเพื่อประโยชน์สุขของมนุษย์ชาติอีกต่อไปข้างหน้าด้วยความรู้ที่เราเรียกว่าธรรม จะได้เข้าใจเข้าถึงความจริงของปัญญาเพื่อเป็นเครื่องสั่งสอนเตือนใจ เตือนสติ ให้ได้นำเดินชีวิตที่ดีที่งามและถูกต้อง นี้เป็นความเสียสละอันยิ่งใหญ่ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีต่อชาวมวลมนุษย์โลกเลยที่เดียว นับได้ว่าพระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้เสียสละอย่างแท้จริงเลยที่เดียว นับเป็นบุญของชาติไทย ที่ทรงมีพระมหากษัตริย์ที่พระปรีชาชาญและเป็นพระมหากรุณาธิคุณต่อชาติไทยอย่างหาที่สุดไม่ได้ ทรงรับเอาพระพุทธศาสนาเข้ามา นับตั้งแต่สมัยกรุง
สุโขทัยมีความสัมพันธ์กับลังกาทางพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทลัทธิลังกาวงศ์ โดยรับมาจากนครศรีธรรมราชอีกที นอกจากนี้ สุโขทัยก็ยังมีความสัมพันธ์กับลังกาโดยตรง ในสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไทย) ได้มีพระภิกษุสงฆ์ที่เป็นเชื้อสายราชวงศ์พระร่วงได้เดินทางไปศึกษาพระไตรปิฎกที่ลังกาอีกด้วย นับได้ว่าเป็นกรุงสุโขทัยโมเดล ด้านพระพุทธศาสนา หรือนครศรีธรรมราชโมเดล ด้านพระพุทธศาสนาในประเทศไทยเลยก็ว่าได้ เพราะพ่อขุนรามคำแหงมหาราช พระองค์ทรงได้ส่งพระสงฆ์จากกรุงสุโขทัย ไปเผยแผ่ธรรมยังเมืองหลวงต่างๆทั่วประเทศไทยเลยที่เดียว หลักฐานที่ปรากฏที่อย่างหนึ่งก็คือ พระพุทธรูปสุโขทัย ที่ถูกอัญเชิญจากกรุงสุโขทัย มาประดิษฐานยังวัดวาอาราม พระอารามหลวง หรือวัดราษร ต่างๆในกรุงเทพฯ นี้มากมาย ยกตัวอย่างเช่น หลวงพ่อทองคำวัดไตรมิตร เป็นพระพุทธรูปจากกรุงสุโขทัยที่ถูกอัญเชิญมา สัญนิฐานว่าสร้างสมัยพ่อขุนราม เพราะที่องค์พระยังปรากฏเป็นลายลักอักษรอีกด้วยนั้นคือ "ข้อความหลักศิลาจารึกหลักที่ 1 ของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช บรรทัดที่ 23-27 ความว่า กลางเมืองสุโขทัย มีพิหาร มีพระพุทธรูปทอง มีพระอัฏฐารส มีพระพุทธรูป มีพระพุทธรูปอันราม มีพระพิหารอันใหญ่ มีพิหารอันราม" เอ้าละครับกลับมาว่าต่อ พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสว่าความรักไม่ดี และไม่เคยปฏิเสธความรัก แต่พระพุทธเจ้าท่านตรัสสั่งสอนว่า รักอย่างไรถึงจะมีสุข เมื่อมีทุกข์จะแก้อย่างไร โดยใช้ปัญญารู้เท่าทันทุกข์นั้นเอง ดั่งเช่นมีแนวปฏิบัติให้รักกัน ตามหลักทิศ 6 นั้นเอง ซึ้งเป็นเจตนารมณ์ของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง ที่อยากเห็นคนมีความรักมีความสุข ทุกข์สิ้นไปอย่างแท้จริง ผมจึงได้เขียนไว้ว่า ไม่ให้ทุกข์คนอื่น คนนั้นชื่อว่าพรหม ผมไม่ได้คิดเอง แต่จากการศึกษาพระพุทธศาสนาบวชพระแล้วศึกษามา 12 ปีกว่าๆ จึงเห็นเจตนารมณ์ที่แท้จริงของพระพุทธเจ้านั้นเอง ท่านต้องการให้คนเรามีสุข มีความรักที่งดงามต่อกัน และการแก้ไขความทุกข์ด้วยความรู้หรือธรรม คือไม่อยากให้สร้างทุกข์ให้แก่กันนั้นเอง นี้คือเจตนารมณ์อย่างแท้จริงของพระพุทธเจ้า ผู้เสียสละอันยิ่งใหญ่เพื่อมวลมนุษย์ชาติอย่างแท้จริง และถ้าปฏิบัตินอกเหนือหลักทิศ 6 ไปแล้วก็เป็นทุกข์ สังคมวุ่นวายจริงๆิ และผมก็เชื่อในใจว่าคนไทยเรายังมีน้ำใจและมีเมตตาต่อกัน จะให้มองโลกในแง่บวกไปทั้งหมดคงทำไม่ได้ ต้องรู้เท่าทันตามความเป็นจริง นั้นคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน กฏหมายยังไม่มองโลกในแง่บวกเลย ยังต้องมีกฏหมายไว้กำรา่บพวกคนไม่ดีใช่ไหมครับ.