Welcome to my blogspot

ดาวน์โหลดบทความใหม่ (dwnld)...ร.๕ กับการเสด็จประพาสประเทศอินเดีย...ขอขอบคุณบทความดีๆที่มีให้เราๆได้อ่าน เสริมปัญญา เป็นอาหารสมอง และให้ความรู้ที่ดีที่สุด­เพราะกลั่นมาจากปัญญาแท้ๆ wel 2013 come / Happy new year

หยิบข่าวมาบอก:Breaking News

r

27 ธันวาคม 2555

พรหลวงพ่อโต (ซำปอกง) วัดพนัญเชิง

สวัสดีปีใหม่ทุกท่านครับ ผมได้ไปเที่ยวอยุธยาไหว้พระในหลายๆวัด พอดีตอนออกเห็นป้ายอวยพรปีใหม่ที่ทางวัดจัดทำขึ้นมา เลยถ่ายภาพมาเพื่อจะอวยพรท่านๆครับ



สุขสันต์ปีใหม่มีสิ่งดีเข้ามาในชีวิต โรคภัยไข้เจ็บห่างหาย  คิดดีจงสมหวังทุกประการ คิดไม่ดีก็ให้สลายไปไม่สำเร็จผล.

26 กุมภาพันธ์ 2555

สมัยการศึกษาแผนโบราณ (ตะวันตก)


ในสมัยโบราณชาวสปาต้าและเอเธนส์ มีความแตกต่างกันอยู่ 2 แบบที่แลเห็นได้ชัดเจน กล่าวได้คือ
1. การศึกษาของชาวสปาต้า
ชาวสปาต้ามีลักษณะเฉพาะ ซึ้งเป็นสมบัติของกรีกเผ่าดอเรียนส์อย่างหนึ่ง คือความเป็นนักรบ ชาวสปาต้าถือว่า คุณธรรมแห่งลูกผู้ชาย อยู่ที่ความเข้มแข็งห้าวหาญอดทน มีไหวพริบ รักชาติ และรู้ระเบียบวินัย การฝึกฝนอบรมของชาวสปาต้า ก็เพื่อให้เป็นทหารที่ดี เพราะถือคติว่า "แม้หวังตั้งสงบ จงเตรียมรบให้พร้อมสรรพ" ชายชาวสปาต้านั้นแทบเรียกได้ว่าเป็นทหารตั้งแต่เกิดจนตาย ทั้งนี้การปกครองบ้านเมืองก็ดี ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวพลเมืองก็ดีอยู่ในลักษณะที่เรียกว่า เป็น "รัฐทหาร" (Totalitarian and Militaristic State) ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า ที่พวกกรีกดอร์เรียนส์อพยพเข้ามาตั้งหลักแหล่งทางแหลม Peloponnesus พวกนี้ไม่ยอมอยู่ปะปนกับพวกพื้นเมืองเดิมบังคับให้เสียภาษีและให้ประกอบกิจการงานทุกอย่าง แต่หาได้ให้สิทธิพลเมืองไม่ ทำให้คนพวกนี้ซึ่งเรียกชื่อว่า Perioeci ซึ่งถูกกดขี่ไม่พอใจ มักก่อการกำเริบทำให้พวกสปาต้าต้องคอบปราบปราม นอกจากนี้ก็ยังมีคนอีกพวกหนึ่งเป็นพวกเชลย (Helots) ซึ่งเป็นทาสและทำไร่ไถ่นาหาผลประโยชน์ให้แก่ผู้เป็นนาย สำหรับชาวสปาต้าทำอะไรไม่ได้ทั้งสิ้นนอกจากเป็นทหาร เนื่องจากได้มีบัญญัติซึ่ง Lycurgus นักการเมืองคนสำคัญได้ตั้งไว้ห้ามมิให้ชาวสปาต้าประกอบอาชีพใดเพราะเกรงว่าการเป็นทหารจะเสื่อมลง นอกจากนี้เพื่อนบ้านใกล้เรือนเีคียงของสปาต้าเองมักจะคอยรบกวน ทำให้ชาวสปาต้าต้องพะวงในการป้องกันตัว โดยเหตุนี้ รัฐบาลของชาวสปาต้าจึงรับหน้าที่ในการฝึกอบรมพลเมืองเพื่อให้เป็นกำลังและให้ความคุ้มครองนครรัฐ ความเข็มแข็งเป็นคุณสมบัติสำคัยประการแรกของชาวสปาต้า พลเมืองทุกคนถือเป็นสมบัติของรัฐ ดังนั้นเด็กเกิดใหม่จะต้องมีเจ้าหน้าที่ตรวจดูร่างกายแข็งแรงจึงจะให้มารดาเลี้ยงไว้ได้ ถ้าปรากฏเด็กอ่อนแอก็จะปล่อยให้ตายเสีย เพราะไม่ต้องการมีพลเมืองที่ไม่แข็งแรง เด็กชายชาวสปาต้ามีโอกาสได้อยู่บ้าน ให้มารดาเลี้ยงดูและอบรมสั่งสอนจรรยามารยาท และกล่อมเกลาจิตใจให้ได้ลักษณะของชาวสปาต้าอยู่จนอายุ 7 ขวบเท่านั้น ต่อจากนี้เด้กจะต้องพ้นจากการเลี้ยงดูของทางบ้าน เพราะต้องเข้าไปอยู่ในความควบคุมดูแลและการฝึกฝนซึ่งทางรัฐเป็นฝ่ายจัดขึ้น คือเข้าประจำอยู่ใน "ค่ายยุวชน" (Public Barrack) เป็นเวลา 10 ปี  ในระยะเวลาดังกล่าวเด็กจะถูกอบรมเพื่อให้มีคุณสมบัติของชาวสปาต้าอย่างครบครัน มีเจ้าหน้าที่ที่เรียกว่า Pacdonomus เป็นผู้ดูแลอบรม เด็ที่ยังเล็กอยู่ก็มีพี่เลี้ยงเรียกว่า Eiren  คอยดูแล เด็กจะได้รับการฝึกฝนให้เคยชินต่อความตรากตรำ ต้องตัดผมสั้น ไปไหนดินเท้าเปล่า ใช้เสื้อผ้าน้ออยชิ้น ปีหนึ่งมีเพียงชุดเดียว เด็กพวกนี้จึงดูสกปรกมอมแมม เด็กต้องถูกหัดให้มีใจคอแข็งแกร่ง ทรหดอดทน มีไหวพริบ รู้จักเอาตัวรอดด้วยวิธี ต่างๆ เช่นเอาตัวไปปล่อยในที่เปลี่ยวให้หาทางกลับบ้านเอง เอาไปทิ้งไว้ให้อดอาหารนอนกลางดินกินกลางทราย ทั้งยังต้องเป็นคนองอาจ ไม่ประหม่าสะทกสะท้านในเมื่ออยู่ต่อหน้าคนหมู่มากโดยฝึกให้กินข้าวกลางตลาด (ย่านชุมนุมชน) และฝึกพูด ในทางร่างกายก็บำรุงให้แข็งแรงล่ำสันโดยการออกกำลังกาย เช่น วิ่ง กระโด ต่อยมวย มวยปล้ำ หัดระเบียบแถว เล่นฟุตบอล พุ่งแหลน วิชาป้องกันตัว ร้องเพลงรบ เต้นรำ และหัดพละศึกษาเหล่านี้ก็ได้เรียนวินัยไปด้วยชาวสปาต้า ถือว่าการขโมยไม่ใช่เรื่องเสียหาย เพราะเป็นวิธีที่จะเอาตัวรอด แต่ถ้าขโมยแล้วปล่อยให้จับได้กลับเป็นสิ่งอัปยศ ชาวสปาต้าชอบพูดสั้น ห้วน แต่ได้ใจความ แบบที่เรียกกันว่า "Laconic Speech"  
        เมื่ออายุเริ่มเข้า 18-20 ปี ก็เริ่มฝึกวิชาทหาร (War-Training) โดยตรง คล้ายกับเข้าโรงเรียนทหารสมัยนี้นี่เอง เด็กต้องเรียนยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี มีการซ้อมรบและการฝึกหนัก และเข็มข้นมากขึ้น เป็นต้นว่าถูกเฆี่ยนตีต่อหน้ามหาชนเพื่อให้รู้จักอดกลั้นต่อความเจ็บปวด พออายุครบ 20 ปี ต้องกล่าวคำสัตย์สาบาน (Oath of Allegiance) หลังจากนี้คือระหว่างอายุ 20-30 ปี ก็มีฐานะเป็นทหารประจำการ ถูกส่งตัวไปตามชายแดน หรือถูกส่งไปทำการรบถ้ามีสงครามเกิดขึ้น พออายุ 30 ปีก็ได้ชื่อว่าเป็นพลเมืองอย่างสมบูรณ์มีภรรยาได้ แต่ต้องประจำกรมกองนานๆ จึงจะได้กลับบ้าน ดังนั้น ชายชาวสปาต้าจึงมีความผูกพันกับครอบครับย้อยมาก คนหนุ่มเหล่านี้ต้องทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง และฝึกอบรมเด็กรุ่นต่อไป จนกว่าจะอายุ 60 ปี จึงจะพ้นการเป็นทหารได้ 
        หญิงชาวสปาต้าก็ได้รับการฝึกฝนทางกายในทำนองเดียวกับชาย เพราะนิยมกันว่า หญิงที่แข็งแรงย่อมที่จะให้บุตรที่แข็งแรง ผู้หญิงชาวสปาต้าไม่ค่อยเก็บตัวเหมือนพวกอื่น ออกมาสมาคมกับชายได้สบาย
         ชาวสปาต้าทุกคนจะขาดเสียมิได้ก็คือจะต้องถ่องจำข้อความในบัญญัติของ Lycurgus และกวีนิพนธ์ที่ Homer และ Heriod เป็นผู้แต่ง เฉพาะอย่างยิ่ง เรื่อง LLiad และ Odyssey
         จากการศึกษาดังกล่าวนี้แล้ว ทำให้ชาวสปาต้าเป็นทหารที่ดีเยี่ยม วินัยดี กล้าหาญ รักชาติ และเสียสละเพื่อชาติ และสร้างเกียรติประวัติไว้อย่างสวยงาม ทั้งยังได้ช่วยป้องกันชาติกรีกให้พ้นจากการคุกคามของพวก Persians Laconia กลายเป็นนครรัฐที่สำคัญขึ้นมาอยู่สมัยหนึ่ง ภายหลังสงคราม Peloponesus แต่แล้วชาวสปาต้าก็มิสามารถที่จะรักษาความเป็นใหญ่นั้นไว้ได้ เพราะสปาต้าเตรียมอบรมพลเมืองของตนเหมาะกับมีศึกสงครามเท่านั้น มิได้เตรียมอบรมไว้สำหรับในยามสงบ ทำให้ไม่สามารถรักษาอำนาจ และสร้างความเจริญไว้ได้อย่างถาวร

2. การศึกษาของชาวเอเธนส์
ชาวเอเธนส์ซึ่งเป็นพวกกรีกไอโอนิก (โยนิก) นั้น มีนิสัยใจคอแตกต่างจากพวกสปาต้าเป็นอันมาก พวกนี้เป็นพวกรักอิสระและมักทำตามความคิดเห็นของตนเอง ไม่ค่อยเคร่งต่อระเบียบข้อบังคับและไม่ชอบให้ใครมาวางกฏระเบียบและข้อบังคับอีกด้วย การจัดการศึกษาของเอเธนส์จึงมีลักษณะ จึงมีลักษณะตรงกันข้ามกับของพวกสปาต้า คือเป็นการศึกษาโดยเสรี (Liberal Education) ซึ่งอธิบายได้ตามนัยดังนี้ 
 1. พลเมืองทุกคนมีเสรีภาพในการให้การศึกษาแก่บุตรของตนเองได้ตามอัตภาพ และตามแต่จะเห็นเหมาะ
 2. รัฐทำหน้าที่ในการควบคุมการศึกษา หาได้อำนวยการศึกษาไม่
 3. การศึกษามีจุดประสงค์ที่จะให้เป็นพลเมืองดี มีความรู้ความสามารถ และจิตเป็นเสรีต่อการที่จะประพฤติตามทำนองคลองธรรม 
โดยธรรมดาแล้วพวกชาวกรีกมักรู้สึกกันว่า การให้การศึกษาแก่บุตรเป็นทั้งหน้าที่และความจำเป็น เพราะการศึกษาเป็นการให้สิทธิพลเมืองแก่บุคคล ถ้าขาดการศึกษาเสียแล้วก็ย่อมขาดสิทธินั้น นอกจากนี้ยังมีธรรมเนียมว่าบิดาคนใดที่ไม่เอาใจใส่ให้การศึกษาแก่บุตร กฏหมายก็อนุญาติให้บุตรพ้นจากพันธะที่จะเลี้ยงดูบิดาในวัยชราได้
การเล่าเรียนเบื่องต้นประชาชนจัดทำเอง โดยมีดรงเรียนราษฎร์เปิดขึ้นทั่วไปทั้งโรงเรียนและครูมีรายได้จากค่าเล่าเรียน ทำให้ฐานะเศรษกิจครูไม่สู้ดีนัก ตามโรงเรียนเหล่านั้นมักจะเรียนกันตั้งแต่เช้ายันค่ำ และมีระเบียบเข้มงวดไม้เรียวเป็นไม้อาญาสิทธิ์ที่ขาดไม่ได้ทั้งที่โรงเรียนและบ้าน
ระยะเวลาเรียนของเด็กชาวเอเธนส์ แบ่งได้ 3 ตอน คือ
1.การศึกษาเบื้องต้น (8-16 ปี) เข้าโรงเรียนราษฎร์ ซึ่งมี 3 ตอน คือ
   ก.โรงเรียนหนังสือ
   ข. โรงเรียนดนตรี
   ค. โรงเรียนกายบริหาร
2. การศึกษาขั้นเตรียมพลเมือง (Civic Training)
   ก. โรงเรียนพละศึกษา (Gymnassium) อายุ 16-18 ปี เป็นโรงเรียนรัฐ มีการเรียนพละขั้นสูง
   ข. วิชาทหาร (Army Service หรือ Technical period หรือ Ephebic) อายุ 18-20 ปี
   ค. การเรียนวิชาชีพ อายุ 20 ปีขึ้นไป เมื่อพ้นจากการเป็นทหารและได้รับสิทธิเป็นพลเมือง ผู้ใดจะประสงค์เรียนวิชาชีพต่อไป หรือจะออกประกอบอาชีพกิจการงานก็ทำไปตามใจชอบ
   
    ข.การฝึกวิชาทหาร (Technical period หรือ Citizen-Cadet years 18-20 ปี)
รัฐเป็นผู้จัดทำเอง เมื่ออายุ 18 ปี บิดาจะต้องพาบุตรไปรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ (ขึ้นทะเบียนเป็นทหาร)
ว่าเด็กนั้นกำลังจะรับสิทธิพลเมือง เจ้าหน้าที่จะสอบสวนเด็กหนุ่มนั้นอย่างถี่ถ้วนทั้งกายและนิสัยใจคอ เมื่อปรากฏว่าเป็นบุตรที่ถูกต้องตามกฏหมายจึงจะลงทะเบียนสำมะโนครัวว่าเป็นผู้สืบสกุลนั้นๆ ตอนนี้ผมที่ไว้ยาวก็จะตัดสั้นใส่เสื้อสีดำ และมีอาวุธติดตัวได้เช่น ดาบและโล่ ครั้นแล้วเด็กหนุ่มจะเดินขบวนไปยังเทวสถานประจำเมืองเพื่อกล่าวคำสัตย์ปฏิญาณ (Ephibic Oath) ว่า
1. จะทำการรบเพื่อป้องกันศาสนา และสาธารณะสมบัติ แม้ลำพังตนเองหรือร่วมกับหมู่คณะ
2. จะไม่ทำให้อาวุธเสื่อม
3. จะไม่หนีเอาตัวรอดแต่ผู้เดียว
4. จะเคารพเชื่อฟังขุนศาลตุลาการและผู้มีอำนาจ
5. จะเคารพกฏหมาย ระเบียบข้อบังคับ และขนบธรรมเนียมประเพณี และจะป้องกันมิให้ผู้ใดล่วงละเมิดได้
6. จะนับถือศาสนาตามเยี่ยงอย่างบรรพบุรุษ
7. จะทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญยิ่งขึ้น

 จากการอบรมแบบของชาวเอเธนส์จะเห็นได้ว่า มีจุดมุ่งหมาย 3 ประการ คือ
1. เพื่อให้ยุวชนรู้จักบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม (public usefulness)
2. เพื่อพัฒนาการแห่งตนเอง (individual development)
3. ให้เป็นพลเมืองดี (civic virtues)


เปรียบเทียบการศึกษาแบบสปาต้า และเอเธนส์

มีส่วนคล้ายคลึงกันในข้อที่ว่าเป็นการเรียนโดยกระทำจริง (by doing)และเรียนหนังสือน้อยกว่าทางพละศึกษา และจริยธรรม นอกจากนี้ส่วนใหญ่ของการอบรมมุ่งให้เป็นบุคคลเป็นพลเมืองดี เห็นแก่ส่วนรวมเป็นสำคัญและพยายามดำรงรักษาไว้ซึ่งวัฒนธรรมของหมู่คณะ ให้อยู่ในศีลสัจ และให้มีชีวิตอยู่โดยง่าย แต่มีระเบียบเข้มงวด

       


อ้างอิง 
ศ.ดร.ธนู แสวงศักดิ์และคณะ ประวัติการศึกษาตะวันตก 2531

29 พฤศจิกายน 2554

ร่วมบุญก่อกุศล ในไทยและอินเดีย




ภาพงานมุทิตาสักการะหลวงปู่พระสุธีธรรมโสภณ อายุวัฒนะ 72 ปี เจ้าอาวาสวัดเทพากร เขตบางพลัด กรุงเทพฯ วันที่ 7 ต.ค. 2554



พระธรรมสุธี (พีร์ สุชาโต) อธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุ องค์กลาง

พระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม ป.ธ.๙, Ph.D) 

กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะภาค ๑๔ เจ้าอาวาสวัดสามพระยา (ขวาสุด)

 @@@@@@@@

ภาพแสวงบุญ ที่ พุทธคยา นาลันทา วัดเวฬุวัน วัดไทยสิริราชคฤห์ ดาจีลิงค์ 23-30 ต.ค. 2554



 

 ผศ.ดร.วรานนท์  คงสง คณะบดีวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง













ชนเผ่าที่ดาจีลิงค์


goldentips in darjeeling


ขึ้นเครื่องที่ Bagdogra กลับ Kolkata 28 ตุลาคม 2011

กลับไทยแล้วครับ กลับมาถึงผมก็มาเป็นอาสาสมัครช่วยน้ำท่วมพักหนึ่ง



19 กันยายน 2554

รู้เล็กรู้น้อย เรื่อง การสถาปนาทางการทูตเริ่มแรกของ ไทยกับอินเดีย

นับตั้งแต่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ รัชกาลที่ ๕ ได้เสด็จฯ เยือนประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๔๑๕ (ค.ศ.๑๘๗๒)  ณ เมืองกัลกัตตา แล้วจึงได้เสด็จ ณ เมืองต่างๆอีกเช่น เดลี บอมเบย์ (มุมไบ) ในปัจจุบัน ได้ทรงศึกษาระบบการปกครอง รถไฟ การเพะปลูก ฯลฯ เพื่อนำมาประยุกย์ใช้ในประเทศไทยอีกด้วย 


และหลังจากนั้นมาอีก ๔ ปีต่อมา จึงได้สถาปนา สถานกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ เมืองกัลกัตตา พ.ศ. ๒๔๑๙ (ค.ศ. ๑๘๗๖) โดยมีหลวงสยามกฤตยานุรักษ์ (นาย เอม อาร์ อัมการ์) เป็นกงสุลกิตติมศักดิคนแรก ชื่อของท่านเป็นคนอินเดียแน่นอน ได้เป็นข้าหลวงไทย แต่ถึงกระนั้นที่เมืองบอมเบย์ (มุมไบ) ก็มีสถานกงสุลกิตติมศักดิด้วย ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๑๕ (ค.ศ. ๒๘๗๒) โดยมีกงสุลกิตติมศักดิคนแรก คือ หลวงสยามกิจติการ (นาย G.Percy Leith) ท่านเป็นคนอินเดียอีกเช่นกัน


ครั้นต่อมาประเทศไทยกับอินเดียได้สถาปนาการทูตที่กระชับขึ้นไปอีกเมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๙o (ค.ศ. ๑๙๔๗) โดยมีท่านถนัด คอมันต์ เป็นอุปทูต และถัดมา มีหลวงพินิจอักษร เป็นอัครราชทูต ความสัมพันธ์ไทยกับอินเดียมีมากยิ่งขึ้นถึงกับยกระดับความสัมพันธ์เป็นเอกอัครราชทูต เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๔ (ค.ศ.๑๙๕๑) โดยมีเอกอัครราชทูตไทยคนแรกคือ ท่าน พลตรี หลวงวิจิตรวาทการ ประจำ ณ อินเดียเป็นท่านแรก ในส่วนของสาธารณรัฐอินเดียได้แต่งตั้งท่าน ภัควัต ดายัล ( Bhagwat Dayal) ดำรงตำแหน่งอุปทูตประจำประเทศไทย เมื่อวันที่ ๒ กันยายน พ.ศ. ๒๔๙o (ค.ศ. ๑๔๗๕)

และมีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา โดยมีอินเดียที่มีวัฒนธรรมที่ยาวนานที่ไทยเรารับมาเช่น ภาษา ศาสนา  ฯลฯ ผู้เขียนไปอินเดียครั้งแรกเมื่อ ปี ๒๕๔๙ และเป็นนักศึกษาปริญญาเอก เคยได้ร่วมทำกิจกรรมกับกลุ่มนักศึกษาไทยในอินเดียหลายครั้ง เช่นที่ มหาวิทยาลัยเดลี,มหาวิทยาลัยปันจาบ,มหาวิทยาลัยมคธ,มหาวิทยาลัยปูนา,มหาวิทยาลัยพาราณาศี โดยนำวัฒนธรรมไทยไปเผยแพร่ คือดนตรีไทย รำไทย เป็นต้น ซึ่งเป็นการแสดงและแลกเปลี่ยนกิจกรรมกันระหว่าง มหาวิทยาลัยกับนักศึกษาชาวต่างชาติ ซึ่งในงานจะจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยนั้นๆ โดนมีคณาจารย์ต่างๆของอินเดียและนักศึกษาชาวต่างชาติและอินเดียและแขกที่มาร่วมงาน ทำให้เห็นว่ากลุ่มนักศึกษาไทยในอินเดียมีบทบาทไม่น้อยในการเผยแพร่วัฒนธรรมไทยให้เป็นที่รู้จักในอินเดียและชาติอื่นๆ โดยการจัดกิจกรรมครั้งหนึ่งนักศึกษาไทยในอินเดียจะร่วมกันออกทุนทรัพย์ในการจัดงานขึ้นเอง+กับค่าใช้จ่ายในการเดินทางและที่พักมาร่วมงานที่นักศึกษาไทยจัดขึ้นของแต่ละมหาวิทยาลัยที่นักศึกษาไทยศึกษาอยู่และเงินสนับสนุนของกงสุลไทยในอินเดียบางส่วน  จึงบอกได้ว่าเป็นการปิดทองหลังพระอย่างแท้จริงของกลุ่มนักศึกษาไทยในอินเดีย ที่ร่วมกันเผยแพร่วัฒนธรรมไทย ซึ่งเป็นที่น่าประทับใจเป็นอย่างมาก.

อ้างอิง
วารสารอินเดียศึกษา ปีที่ 5, 2543 มหาวิทยาลัยธรรมศาตร์






                        
                           Happy Trip on 18 Aug-24 2011 Kolkata ,Bihar Gaya



25 สิงหาคม 2554

สวัสดีอินเดีย...Namaskar India

Happy trip on 18-24 Aug 2011
เรียนพูดภาษาฮินดีกันเถอะ
ประเทศอินเดียมีภาษาพูดที่แตกต่างกันมากมาย ในกลุ่มคนต่าง ๆ กัน มีภาษาอย่างน้อย 30 ภาษา รวมถึงภาษาย่อยอีก 2,000 ภาษาด้วย รัฐธรรมนูญอินเดียได้กำหนดให้ภาษาฮินดีและภาษาอังกฤษ เป็นสองภาษาที่ใช้ในการติดต่อกับรัฐบาลกลาง นอกจากนี้ยังได้กำหนดภาษาอื่น 22 ภาษาเป็น ภาษากำหนด (scheduled languages) ซึ่งเป็นภาษาที่รัฐต่าง ๆ สามารถนำไปใช้สำหรับการปกครองได้ รวมถึงเป็นตัวกลางในการติดต่อระหว่างรัฐบาลกลางและรัฐบาล

ประเทศอินเดียนับได้ว่ามีภาษาพูดมากที่สุดประเทศก็ว่าได้ ผมไปอินเดียทุกครั้งผมจะต้องไปเรียนภาษาฮินดีกับเจ้าของภาษาของเขา ที่นี้ผมก็จะเอาฝึกสอนท่านเรียนดูบ้างเพื่อท่านมีโอกาสได้ไปประเทศอินเดีย แล้วใชู้พูดกับเจ้าของภาษาเขานะครับ คำง่ายๆที่สำคัญ

1.สวัสดีครับ/ค่ะ : นามัสเต
2.คุณชื่ออะไร   :  อาฟปะนังเกียแฮ
3. ห้องน้ำอยู่ที่ไหน : Toilet ซอจาเลกาฮาแฮ
4. รถไฟจะมากี่โมง : Tran กิตตะนะบัตเยอาเกกา
5. รถไฟจะจอดชานชลาอะไร : Tran กิต Numbre ปาลาอาเอกา
6.ฉันต้องการจะซื้อน้ำ : แม้ปานีคะลีดุงกา
7.ราคาเท่าไร : กิตตะนะกิมมัสแฮ

แต่ถ้าจะบอกรักผู้หญิงอินเดียสักคนก็ต้องคำนี้เลย 
ผมรักคุณ : แม้เบียกาตาฮู


แต่ถ้าเห็นผู้หญิงอินเดียสวยๆสักคนก็พูดไปเลยว่า
ทำไมคุณสวยจัง : อาฟปาหุตสุนทรีแฮ


นำมาฝากกันให้ท่านได้เรียนพูดนะครับ



18 กรกฎาคม 2554

สาระเบาๆ เล่าสู่กันฟัง เรื่อง คำสอนขงจื่อ

เมื่อ ปี 2006 มีหนังสือออกมาเล่มหนึ่ง เรื่อง 于丹《论语》心得 หรือ"บันทึกการอ่านคำสอนขงจื่อ" แต่งโดย 于丹 (อวี๋ตัน) อาจารย์จากมหาวิทยาลัยครุศาสตร์ปักกิ่ง เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้เป็นการตีความคำสอนของขงจื่อจากมุมมองของคนสมัย ใหม่ โดยใช้ภาษาง่ายๆ เน้นที่การประยุกต์ใช้คำสอนเหล่านั้นให้เข้ากับวิถีชีวิตของคนจีนปัจจุบัน และแนะนำการใช้คำสอนมาแก้ปัญหาสังคม หนังสือเล่มนี้ได้กลายเป็นหนังสือขายดีในเวลาอันรวดเร็ว ในวันแรกที่จำหน่าย เพียงแค่ร้านหนังสือร้านเดียวก็ขายได้ถึง 12,600 เล่ม และมียอดขายรวมเกิน 5 ล้านเล่มในเวลา 2 ปีหลังวางแผง ความนิยมของประชาชนที่มีต่อหนังสือเล่มนี้ก่อให้เกิดคำถามในสังคมว่า ทำไมกระแสนิยมขงจื่อจึงได้มาแรงมากในสังคมจีนปัจจุบัน ก่อนที่เราจะค้นหาคำตอบกันนั้น แนนขอแนะนำประวัติคร่าวๆ ของขงจื่อและยกตัวอย่างคำสอนบางส่วนมาให้เพื่อนๆ อ่านกันก่อนค่ะ

ขงจื่อ ชื่อจริงว่า ข่งชิว ฉายา จ้งหนี เป็นชาวแคว้นหลู่ (ปัจจุบันคือเมืองชวีฝู่ ในมณฑลซานตง) เกิดเมื่อประมาณ 551 ปีก่อนคริสตศักราช ขงจื่อมีนิสัยใฝ่เรียนมาตั้งแต่เด็ก และได้เริ่มเข้าทำงานราชการเมื่ออายุ 18 ปี เนื่องด้วยความฉลาด ขยันขันแข็ง ซื่อตรงต่อหน้าที่การงาน ขงจื่อได้รับความเมตตาจากผู้ใหญ่และเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานจนได้รับ แต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการฉางหลวง (ธนาคารข้าว) แต่ในระหว่างรับราชการนั้น ขงจื่อได้เห็นความเหลวแหลก ความไม่ยุติธรรมของข้าราชการ ทำให้เขาคิดแก้ไขความเหลวแหลกทั้งหลายในแผ่นดิน และเริ่มแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ต่อมาในปี 517 ก่อนคริสตศักราช เกิดความวุ่นวายขึ้นในแคว้นหลู่ ขงจื่อจึงหลบภัยไปรับราชการอยู่ที่แคว้นฉี ประกอบกับผู้ครองแคว้นฉีมีความสนใจในเรื่องการบ้านการเมือง ต้องการจะปกครองผู้คนด้วยความผาสุก ขงจื่อจึงมีบทบาทสำคัญทางการเมือง และได้วางหลักการปกครองไว้ว่า "รัฐบาลที่ดี ผู้ปกครองต้องเป็นผู้ปกครองจริงๆ เสนาบดีต้องทำหน้าที่เสนาบดี พ่อต้องทำหน้าที่ของพ่อ ลูกต้องทำหน้าที่ของลูก"
ขงจื่อเป็นผู้ก่อตั้งลัทธิหรู ซึ่งเป็นปรัชญาการใช้ชีวิตและการปกครองที่เน้นเมตตาธรรม และมีลูกศิษย์ 3,000 คน เมื่ออายุ 55 ปี ขงจื่อเริ่มพาลูกศิษย์ตระเวนไปยังแคว้นต่างๆ เพื่อเผยแพร่หลักรัฐศาสตร์ของเขา แต่สิ่งที่ขงจื่อสอนไม่ได้เน้นที่เนื้อหาการเมืองเท่านั้น แต่เขายังเน้นการจรรโลงประเทศให้มีความเจริญด้วยศีลธรรม อีกทั้งยังตั้งโรงเรียนขึ้นมาสอนจริยธรรมและวัฒนธรรมอย่างจริงจัง จนมีชื่อเสียงขจรขจายไปไกล หลังจากที่ขงจื่อล่วงลับไปแล้ว ลูกศิษย์ของเขาได้รวบรวมคำสอนและหนังสือที่ขงจื่อแต่งขึ้นมาเป็นคัมภีร์หลัก ของลัทธิ และได้สืบทอดเผยแพร่หลักจริยธรรมของขงจื่อกันเรื่อยมา จนหลักคำสอนของขงจื่อได้ฝังรากลึกลงในแนวคิดของคนจีน และมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมจีนเป็นอย่างมาก ปัจจุบัน องค์การยูเนสโกได้ยกย่องให้ขงจื่อเป็น 1 ใน 10 บุคคลที่มีชื่อเสียงด้านวัฒนธรรมของโลก 

สำหรับคำสอนของขงจื่อนั้น มีจำนวนมากมาย เนื้อหาครอบคลุมทั้งด้านการศึกษา การพัฒนาตนเอง การเข้าสังคม การเมือง การคบเพื่อน คุณธรรมและความกตัญญู แนนขอนำบางส่วนมาแนะนำให้กับเพื่อนๆ ดังนี้ค่ะ
1. สุภาพชนควรมีความรู้กว้างขวางหลายด้าน
君子不器。
2. จงขยันเรียนรู้อย่างไม่รู้จักเพียงพอ และสั่งสอนผู้อื่นอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
学而不厌,诲人不倦。
3. หากเรียนหนังสือแต่ไม่รู้จักใช้สมองคิดพิจารณาก็จะพบกับความสับสน หากมัวแต่เพ้อฝันแต่ไม่รู้จักหาความรู้ใส่ตนก็จะอยู่แต่ในวังวนแห่งความคิด อันอันตราย
学而不思则罔,思而不学则殆。
4. หากตอนเช้าได้รู้แจ้งถึงสัจธรรมแล้ว คืนนั้นแม้ตายก็นอนตาหลับ
朝闻道,夕死可也。
5. กาลเวลาที่ผ่านไปก็เหมือนสายน้ำที่ไหลไปอย่างไม่หยุดยั้ง
逝者如斯夫!不舍昼夜。
6. คนที่มีความรู้สู้คนที่ชอบการเรียนรู้ไม่ได้ คนที่ชอบการเรียนรู้สู้คนที่เรียนอย่างมีความสุขไม่ได้
知之者不如好之者,好之者不如乐之者。
7. ติเตียนตนเองให้มาก และติเตียนผู้อื่นให้น้อย เช่นนี้ย่อมจะหลีกเลี่ยงความแค้นเคืองกันได้
躬自厚而薄责于人,则远怨矣。
8. สิ่งที่ตนเองไม่อยากทำหรือไม่อยากได้ ก็อย่ายัดเยียดให้กับผู้อื่น
己所不欲,勿施于人。
9. อย่าเพียงแต่ฟังแค่ลมปาก การจะเชื่อถือบุคคลใดยังต้องพิจารณาพฤติกรรมของเขาด้วย
听其言而观其行。
10. คนที่ฉลาดจะไม่ทำผิดต่อผู้อื่น และจะไม่ผิดคำพูดของตนเองเช่นกัน
知者不失人,亦不失言。
11. ถ้ารักเขา ต้องไม่ปล่อยให้เขาเอาแต่สบาย
爱之,能勿劳乎?
12. หากรู้จริงพึงบอกว่ารู้ หากไม่รู้พึงบอกว่าไม่รู้ นั่นแหละคือวิถีของปัญญาชน
知之为知之,不知为不知,是知也。
13. ผู้ที่ไม่รักษาสัจจะวาจา จะเข้าสังคมได้อย่างไร
人而无信,不知其可也。
14. การไม่กล้ายืดอกทำสิ่งที่เป็นธรรม นั่นแหละคือความขี้ขลาด
见义不为,无勇也。
15. การเคารพนับถือบิดามารดาและรักใคร่ปรองดองในหมู่พี่น้อง เป็นพื้นฐานของความรักใคร่เมตตาต่อผู้อื่น
孝弟也者,其为人之本与? 

อ่านคำสอนของขงจื่อมาจนถึงตรงนี้ เพื่อนๆ พอจะได้คำตอบของคำถามในตอนต้นบทความหรือยังคะ ว่าทำไมกระแสนิยมขงจื่อจึงได้มาแรงมากในปัจจุบัน โดยส่วนตัวแล้ว แนนคิดว่าปัจจัยมีอยู่ 2 อย่างค่ะ ปัจจัยพื้นฐานก็คือ ปรัชญาความคิดของขงจื่อได้ฝังลึกอยู่ในสังคมจีนมานานหลายศตวรรษ และในปัจจุบันก็ยังส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวจีนในหลายๆ ด้าน ส่วนปัจจัยที่เป็นตัวกระตุ้นก็คือ สภาวะสังคมจีนยุคปัจจุบัน ที่เศรษฐกิจมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ผู้คนตกอยู่ในภาวะแก่งแย่งกันทางวัตถุ สภาวะเช่นนี้ทำให้ชาวจีนโหยหาความสงบทางจิตใจ และหนทางแก้ไขปัญหาอย่างปรองดอง ถ้อยคำทั้งหลายของขงจื่อ ที่เป็นคำสั่งสอนแบบพื้นๆ เน้นเป้าหมายในการดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายและหลีกเลี่ยงการเอารัดเอา เปรียบในสังคม จึงกลายมาเป็นหนึ่งในวิธีตอบโจทย์ปัญหาเหล่านี้.
แนน

ที่มา: Chaina radio international , เข้าเมื่อ 18/7/2554

23 มิถุนายน 2554

A banana a day keeps the doctor away

กล้วย มีน้ำตาลธรรมชาติถึง 3 ชนิดเป็นส่วนประกอบ ได้แก่ ซูโครส(Sucrose), ฟรุคโตส(Fructose) และ กลูโคส (Glucose) รวมไปถึงพวกไฟเบอร์หรือเส้นใยต่างๆ ซึ่งทำให้กล้วยกลายเป็นแหล่งพลังงานขนาดใหญ่ที่ร่างกายสามารถนำมาใช้ได้ทันที จากการวิจัยพบว่า กล้วยเพียงแค่ 2 ลูกก็ให้พลังงานเพียงพอสำหรับการทำงานอย่างหนักเป็นเวลา 90 นาทีได้ ไม่น่าแปลกใจเลยที่กล้วยเป็นผลไม้คู่กายอันดับหนึ่งของพวกนักกีฬาชั้นนำระดับโลก นอกจากกล้วยจะให้พลังงานมากมายแล้ว กล้วยยังช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ และเพิ่มความแข็งแรง สมบูรณ์ให้กับร่างกายของเราได้อีกด้วย อาทิเช่น
โรคซึมเศร้า
จากการสำรวจโดย MIND ในกลุ่มของผู้ที่มีอาการซึมเศร้า หลายๆคนรู้สึกดีขึ้นเมื่อทานกล้วยเข้าไป นี่เป็นเพราะว่ากล้วยมีส่วนประกอบของ Tryptophan ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่ร่างกายของเราจะเปลี่ยนให้เป็น Serotonin ที่รู้จักกันดีว่าจะทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย ทำให้อารมณ์ดีขึ้นและมีความสุขมากขึ้น  
PMS (Premenstrual Sysdrome - อาการแปลกๆที่ผู้หญิงเป็นก่อนมีประจำเดือน
ลืมการกินยาไปได้เลย - กินกล้วยกันดีกว่า กล้วยมีส่วนประกอบของวิตามิน B6 ที่ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดของคุณให้คงที่ ซึ่งมีผลไปถึงอารมณ์ของคุณด้วย
โรคโลหิตจาง
กล้วยมีธาตุเหล็กอยู่มาก ทำให้มันสามารถกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงและช่วยรักษาอาการโลหิตจางได้
โรคเกี่ยวกับความดันโลหิต กล้วยมีโปแตสเซียม (Potassium) สูงมากในขณะที่มีเกลือต่ำ ทำให้มันเป็นผลไม้ที่เหมาะสมที่สุดในการจัดการกับความดันเลือด มันให้ผลดีขนาดที่ว่า องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกายอมให้โรงงานผลิตกล้วยกล่าวอ้างได้ว่ากล้วยช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเกี่ยวกับความดันโลหิตได้
 ยุงกัด
ก่อนที่จะไปหยิบเอายาทายุงกัดมาใช้ ลองเอาผิวด้านในของเปลือกกล้วยมาถูๆบริเวณที่ยุงกัดดู หลายคนพบว่ามันช่วยลดอาการบวมและคันได้อย่างไม่น่าเชื่อ
พลังสมอง
นักเรียนกว่า 200 คนของโรงเรียน Twickenham กินกล้วยพร้อมอาหารเช้า ช่วงพัก และอาหารกลางวันเพื่อช่วยเพิ่มพลังสมองในการสอบของปีที่ผ่านมา จากการวิจัยพบว่ากล้วยซึ่งอุดมไปด้วยโปแตสเซียมนี้ช่วยให้นักเรียนรู้สึกตื่นตัวมากขึ้นทำให้เรียนได้ดีขึ้นในที่สุด
โรคท้องผูก
กล้วยมีไฟเบอร์สูงช่วยให้ลำไส้ใหญ่ของเรากลับมาทำงานได้เป็นปกติโดยไม่ต้องพึ่งพาพวกยาถ่ายต่างๆอีกต่อไป
อาการแฮงค์ (เมาค้าง)
หนึ่งในวิธีรักษาอาการแฮงค์ให้เร็วที่สุดก็คือการกิน Banana milkshake ผสมน้ำผึ้ง กล้วยช่วยให้กระเพาะอาหารของเรากลับมาอยู่ในสภาพปกติ น้ำผึ้งช่วยเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด และนมจะช่วยเพิ่มน้ำให้กับร่างกายของคุณได้ด้วย  
อาการเจ็บเสียดหน้าอก
กล้วยช่วยให้เกิดปฏิกริยาในร่างกายที่จะไปหักล้างพวกกรดในกระเพาะอาหารที่มีเยอะเกินไปได้ (กรดพวกนี้แหละที่ทำให้เรารู้สึกเจ็บเสียดที่หน้าอก) การกินกล้วยจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดนี้ได้
Morning Sickness (อาการคลื่นไส้และอาเจียนเวลาตื่นนอนตอนเช้า จะเป็นมากในผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ระยะแรก
การกินกล้วยเป็นของว่างระหว่างมื้อจะช่วยเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดของคุณ ซึ่งสามารถช่วยลดอาการ morning sickness ได้
ระบบประสาท
กล้วยมีวิตามิน B สูงซึ่งมีช่วยในการทำงานของระบบประสาทของเรา
 น้ำหนักเกินเพราะการทำงาน
จากการศึกษาของสถาบันด้านจิตวิทยาในออสเตรียพบว่าความกดดันที่เกิดจากการทำงานนำไปสู่พฤติกรรมการกินที่ไม่ดี เช่น ช็อคโกแลตและมันฝรั่งทอด เมื่อพิจารณาผู้ป่วยกว่า 5000 คน นักวิจัยพบว่าคนที่เป็นโรคอ้วนส่วนใหญ่ทำงานที่มีความกดดันสูง รายงานนั้นสรุปว่าถ้าต้องการหลีกเลี่ยงการกินอย่างไม่ยั้งคิด เราต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดโดยเลือกทานของว่างที่มีคาร์โบไฮเดรตเยอะๆ ทุกสองชั่วโมง ... จะอะไรซะอีก...ก็ กล้วยไง

โรคแผลในกระเพาะอาหาร
กล้วยเป็นอาหารที่ใช้ต่อสู้กับอาการผิดปกติต่างๆในระบบทางเดินอาหารได้เนื่องจากกล้วยมีผิวสัมผัสที่นุ่มและลื่น กล้วยเป็นผลไม้ชนิดเดียวที่สามารถทานได้โดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อผู้ที่เป็นแผลเรื้อรัง กล้วยยังช่วยปรับภาวะกรดเกินในกระเพาะอาหารให้กลับสู่ปกติได้ รวมทั้งช่วยลดอาการระคายเคืองเพราะกล้วยจะช่วยเคลือบผิวของกระเพาะอาหารได้
ช่วยควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย
หลายๆท้องถิ่นเห็นว่ากล้วยเป็นผลไม้ที่ช่วยทำให้ทั้งอุณหภูมิร่างกายและอารมณ์ของคนที่กำลังจะเป็นแม่เย็นลงได้ ในประเทศไทย ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์มักจะทานกล้วยเพื่อให้แน่ใจว่าลูกของพวกเธอจะเกิดมาด้วยอุณหภูมิที่เย็น
Seasonal Affective Disorder (SAD)
กล้วยช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้าได้เพราะมันมีสารประกอบ Tryptophan ที่ช่วยในการควบคุมอารมณ์
การสูบบุหรี่
กล้วยยังสามารถช่วยคนที่ต้องการเลิกบุหรี่ได้ด้วย กล้วยมีวิตามิน B6 และ B12 รวมไปถึงโปแตสเซียมและแมกนีเซียมที่ช่วยในการฟื้นฟูร่างกายจากผลของการเลิก นิโคตินได้  
ความเครียด
โปแตสเซียมคือวิตามินแห่งชีวิต มันช่วยให้หัวใจเต้นเป็นปกติ ช่วยในการส่งออกซิเจนไปยังสมอง และยังช่วยรักษาสมดุลของน้ำในร่างกายด้วย เมื่อเราเครียด อัตราการเผาผลาญพลังงานของเราจะเพิ่มขึ้นซึ่งทำให้ระดับโปแตสเซียมในร่างกายลดลง ปัญหานี้แก้ได้โดยการทานกล้วยซึ่งมีโปแตสเซียมอยู่เยอะ
โรคเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองอุดตัน (Stroke)
จากการวิจัยของ The New England Journal of Medicine พบว่าการกินกล้วยเป็นประจำช่วยลดความเสี่ยงของการตายเพราะเส้นเลือดอุดตันได้ถึง 40 % 


กล้วยมีประโยชน์ในด้านการรักษาโรคต่างๆมากมายแค่ไหน ถ้าเทียบกับแอปเปิ้ลแล้ว กล้วยให้โปรตีนมากกว่าถึง 4 เท่า ให้คาร์โบไฮเดรตมากกว่า 2 เท่า ให้ฟอสฟอรัสเป็น 3 เท่า ให้วิตามิน A และธาตุเหล็กมากถึง 5 เท่า รวมไปถึงให้วิตามินและแร่ธาตุอื่นๆมากกว่าถึง 2 เท่า นอกจากนี้กล้วยยังมีโปแตสเซียมสูงและเป็นผลไม้ที่ให้คุณค่ามากที่สุดอย่างหนึ่ง ดังนั้นมันอาจจะถึงเวลาแล้วที่เราจะเปลี่ยนประโยคยอดฮิตอันหนึ่งให้กลายเป็น A banana a day keeps the doctor away
ไม่น่าเชื่อเลยเนาะว่ากล้วย...ผลไม้ธรรมดาๆที่เราเห็นมาตั้งแต่เกิดเนี่ย จะมีประโยชน์มากมายขนาดนี้