Welcome to my blogspot

ดาวน์โหลดบทความใหม่ (dwnld)...ร.๕ กับการเสด็จประพาสประเทศอินเดีย...ขอขอบคุณบทความดีๆที่มีให้เราๆได้อ่าน เสริมปัญญา เป็นอาหารสมอง และให้ความรู้ที่ดีที่สุด­เพราะกลั่นมาจากปัญญาแท้ๆ wel 2013 come / Happy new year

หยิบข่าวมาบอก:Breaking News

r

29 พฤศจิกายน 2554

ร่วมบุญก่อกุศล ในไทยและอินเดีย




ภาพงานมุทิตาสักการะหลวงปู่พระสุธีธรรมโสภณ อายุวัฒนะ 72 ปี เจ้าอาวาสวัดเทพากร เขตบางพลัด กรุงเทพฯ วันที่ 7 ต.ค. 2554



พระธรรมสุธี (พีร์ สุชาโต) อธิบดีสงฆ์วัดมหาธาตุ องค์กลาง

พระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม ป.ธ.๙, Ph.D) 

กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าคณะภาค ๑๔ เจ้าอาวาสวัดสามพระยา (ขวาสุด)

 @@@@@@@@

ภาพแสวงบุญ ที่ พุทธคยา นาลันทา วัดเวฬุวัน วัดไทยสิริราชคฤห์ ดาจีลิงค์ 23-30 ต.ค. 2554



 

 ผศ.ดร.วรานนท์  คงสง คณะบดีวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง













ชนเผ่าที่ดาจีลิงค์


goldentips in darjeeling


ขึ้นเครื่องที่ Bagdogra กลับ Kolkata 28 ตุลาคม 2011

กลับไทยแล้วครับ กลับมาถึงผมก็มาเป็นอาสาสมัครช่วยน้ำท่วมพักหนึ่ง



19 กันยายน 2554

รู้เล็กรู้น้อย เรื่อง การสถาปนาทางการทูตเริ่มแรกของ ไทยกับอินเดีย

นับตั้งแต่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ รัชกาลที่ ๕ ได้เสด็จฯ เยือนประเทศอินเดีย เมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๔๑๕ (ค.ศ.๑๘๗๒)  ณ เมืองกัลกัตตา แล้วจึงได้เสด็จ ณ เมืองต่างๆอีกเช่น เดลี บอมเบย์ (มุมไบ) ในปัจจุบัน ได้ทรงศึกษาระบบการปกครอง รถไฟ การเพะปลูก ฯลฯ เพื่อนำมาประยุกย์ใช้ในประเทศไทยอีกด้วย 


และหลังจากนั้นมาอีก ๔ ปีต่อมา จึงได้สถาปนา สถานกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ เมืองกัลกัตตา พ.ศ. ๒๔๑๙ (ค.ศ. ๑๘๗๖) โดยมีหลวงสยามกฤตยานุรักษ์ (นาย เอม อาร์ อัมการ์) เป็นกงสุลกิตติมศักดิคนแรก ชื่อของท่านเป็นคนอินเดียแน่นอน ได้เป็นข้าหลวงไทย แต่ถึงกระนั้นที่เมืองบอมเบย์ (มุมไบ) ก็มีสถานกงสุลกิตติมศักดิด้วย ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๑๕ (ค.ศ. ๒๘๗๒) โดยมีกงสุลกิตติมศักดิคนแรก คือ หลวงสยามกิจติการ (นาย G.Percy Leith) ท่านเป็นคนอินเดียอีกเช่นกัน


ครั้นต่อมาประเทศไทยกับอินเดียได้สถาปนาการทูตที่กระชับขึ้นไปอีกเมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๙o (ค.ศ. ๑๙๔๗) โดยมีท่านถนัด คอมันต์ เป็นอุปทูต และถัดมา มีหลวงพินิจอักษร เป็นอัครราชทูต ความสัมพันธ์ไทยกับอินเดียมีมากยิ่งขึ้นถึงกับยกระดับความสัมพันธ์เป็นเอกอัครราชทูต เมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๔ (ค.ศ.๑๙๕๑) โดยมีเอกอัครราชทูตไทยคนแรกคือ ท่าน พลตรี หลวงวิจิตรวาทการ ประจำ ณ อินเดียเป็นท่านแรก ในส่วนของสาธารณรัฐอินเดียได้แต่งตั้งท่าน ภัควัต ดายัล ( Bhagwat Dayal) ดำรงตำแหน่งอุปทูตประจำประเทศไทย เมื่อวันที่ ๒ กันยายน พ.ศ. ๒๔๙o (ค.ศ. ๑๔๗๕)

และมีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา โดยมีอินเดียที่มีวัฒนธรรมที่ยาวนานที่ไทยเรารับมาเช่น ภาษา ศาสนา  ฯลฯ ผู้เขียนไปอินเดียครั้งแรกเมื่อ ปี ๒๕๔๙ และเป็นนักศึกษาปริญญาเอก เคยได้ร่วมทำกิจกรรมกับกลุ่มนักศึกษาไทยในอินเดียหลายครั้ง เช่นที่ มหาวิทยาลัยเดลี,มหาวิทยาลัยปันจาบ,มหาวิทยาลัยมคธ,มหาวิทยาลัยปูนา,มหาวิทยาลัยพาราณาศี โดยนำวัฒนธรรมไทยไปเผยแพร่ คือดนตรีไทย รำไทย เป็นต้น ซึ่งเป็นการแสดงและแลกเปลี่ยนกิจกรรมกันระหว่าง มหาวิทยาลัยกับนักศึกษาชาวต่างชาติ ซึ่งในงานจะจัดขึ้นที่มหาวิทยาลัยนั้นๆ โดนมีคณาจารย์ต่างๆของอินเดียและนักศึกษาชาวต่างชาติและอินเดียและแขกที่มาร่วมงาน ทำให้เห็นว่ากลุ่มนักศึกษาไทยในอินเดียมีบทบาทไม่น้อยในการเผยแพร่วัฒนธรรมไทยให้เป็นที่รู้จักในอินเดียและชาติอื่นๆ โดยการจัดกิจกรรมครั้งหนึ่งนักศึกษาไทยในอินเดียจะร่วมกันออกทุนทรัพย์ในการจัดงานขึ้นเอง+กับค่าใช้จ่ายในการเดินทางและที่พักมาร่วมงานที่นักศึกษาไทยจัดขึ้นของแต่ละมหาวิทยาลัยที่นักศึกษาไทยศึกษาอยู่และเงินสนับสนุนของกงสุลไทยในอินเดียบางส่วน  จึงบอกได้ว่าเป็นการปิดทองหลังพระอย่างแท้จริงของกลุ่มนักศึกษาไทยในอินเดีย ที่ร่วมกันเผยแพร่วัฒนธรรมไทย ซึ่งเป็นที่น่าประทับใจเป็นอย่างมาก.

อ้างอิง
วารสารอินเดียศึกษา ปีที่ 5, 2543 มหาวิทยาลัยธรรมศาตร์






                        
                           Happy Trip on 18 Aug-24 2011 Kolkata ,Bihar Gaya



25 สิงหาคม 2554

สวัสดีอินเดีย...Namaskar India

Happy trip on 18-24 Aug 2011
เรียนพูดภาษาฮินดีกันเถอะ
ประเทศอินเดียมีภาษาพูดที่แตกต่างกันมากมาย ในกลุ่มคนต่าง ๆ กัน มีภาษาอย่างน้อย 30 ภาษา รวมถึงภาษาย่อยอีก 2,000 ภาษาด้วย รัฐธรรมนูญอินเดียได้กำหนดให้ภาษาฮินดีและภาษาอังกฤษ เป็นสองภาษาที่ใช้ในการติดต่อกับรัฐบาลกลาง นอกจากนี้ยังได้กำหนดภาษาอื่น 22 ภาษาเป็น ภาษากำหนด (scheduled languages) ซึ่งเป็นภาษาที่รัฐต่าง ๆ สามารถนำไปใช้สำหรับการปกครองได้ รวมถึงเป็นตัวกลางในการติดต่อระหว่างรัฐบาลกลางและรัฐบาล

ประเทศอินเดียนับได้ว่ามีภาษาพูดมากที่สุดประเทศก็ว่าได้ ผมไปอินเดียทุกครั้งผมจะต้องไปเรียนภาษาฮินดีกับเจ้าของภาษาของเขา ที่นี้ผมก็จะเอาฝึกสอนท่านเรียนดูบ้างเพื่อท่านมีโอกาสได้ไปประเทศอินเดีย แล้วใชู้พูดกับเจ้าของภาษาเขานะครับ คำง่ายๆที่สำคัญ

1.สวัสดีครับ/ค่ะ : นามัสเต
2.คุณชื่ออะไร   :  อาฟปะนังเกียแฮ
3. ห้องน้ำอยู่ที่ไหน : Toilet ซอจาเลกาฮาแฮ
4. รถไฟจะมากี่โมง : Tran กิตตะนะบัตเยอาเกกา
5. รถไฟจะจอดชานชลาอะไร : Tran กิต Numbre ปาลาอาเอกา
6.ฉันต้องการจะซื้อน้ำ : แม้ปานีคะลีดุงกา
7.ราคาเท่าไร : กิตตะนะกิมมัสแฮ

แต่ถ้าจะบอกรักผู้หญิงอินเดียสักคนก็ต้องคำนี้เลย 
ผมรักคุณ : แม้เบียกาตาฮู


แต่ถ้าเห็นผู้หญิงอินเดียสวยๆสักคนก็พูดไปเลยว่า
ทำไมคุณสวยจัง : อาฟปาหุตสุนทรีแฮ


นำมาฝากกันให้ท่านได้เรียนพูดนะครับ



18 กรกฎาคม 2554

สาระเบาๆ เล่าสู่กันฟัง เรื่อง คำสอนขงจื่อ

เมื่อ ปี 2006 มีหนังสือออกมาเล่มหนึ่ง เรื่อง 于丹《论语》心得 หรือ"บันทึกการอ่านคำสอนขงจื่อ" แต่งโดย 于丹 (อวี๋ตัน) อาจารย์จากมหาวิทยาลัยครุศาสตร์ปักกิ่ง เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้เป็นการตีความคำสอนของขงจื่อจากมุมมองของคนสมัย ใหม่ โดยใช้ภาษาง่ายๆ เน้นที่การประยุกต์ใช้คำสอนเหล่านั้นให้เข้ากับวิถีชีวิตของคนจีนปัจจุบัน และแนะนำการใช้คำสอนมาแก้ปัญหาสังคม หนังสือเล่มนี้ได้กลายเป็นหนังสือขายดีในเวลาอันรวดเร็ว ในวันแรกที่จำหน่าย เพียงแค่ร้านหนังสือร้านเดียวก็ขายได้ถึง 12,600 เล่ม และมียอดขายรวมเกิน 5 ล้านเล่มในเวลา 2 ปีหลังวางแผง ความนิยมของประชาชนที่มีต่อหนังสือเล่มนี้ก่อให้เกิดคำถามในสังคมว่า ทำไมกระแสนิยมขงจื่อจึงได้มาแรงมากในสังคมจีนปัจจุบัน ก่อนที่เราจะค้นหาคำตอบกันนั้น แนนขอแนะนำประวัติคร่าวๆ ของขงจื่อและยกตัวอย่างคำสอนบางส่วนมาให้เพื่อนๆ อ่านกันก่อนค่ะ

ขงจื่อ ชื่อจริงว่า ข่งชิว ฉายา จ้งหนี เป็นชาวแคว้นหลู่ (ปัจจุบันคือเมืองชวีฝู่ ในมณฑลซานตง) เกิดเมื่อประมาณ 551 ปีก่อนคริสตศักราช ขงจื่อมีนิสัยใฝ่เรียนมาตั้งแต่เด็ก และได้เริ่มเข้าทำงานราชการเมื่ออายุ 18 ปี เนื่องด้วยความฉลาด ขยันขันแข็ง ซื่อตรงต่อหน้าที่การงาน ขงจื่อได้รับความเมตตาจากผู้ใหญ่และเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานจนได้รับ แต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการฉางหลวง (ธนาคารข้าว) แต่ในระหว่างรับราชการนั้น ขงจื่อได้เห็นความเหลวแหลก ความไม่ยุติธรรมของข้าราชการ ทำให้เขาคิดแก้ไขความเหลวแหลกทั้งหลายในแผ่นดิน และเริ่มแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ต่อมาในปี 517 ก่อนคริสตศักราช เกิดความวุ่นวายขึ้นในแคว้นหลู่ ขงจื่อจึงหลบภัยไปรับราชการอยู่ที่แคว้นฉี ประกอบกับผู้ครองแคว้นฉีมีความสนใจในเรื่องการบ้านการเมือง ต้องการจะปกครองผู้คนด้วยความผาสุก ขงจื่อจึงมีบทบาทสำคัญทางการเมือง และได้วางหลักการปกครองไว้ว่า "รัฐบาลที่ดี ผู้ปกครองต้องเป็นผู้ปกครองจริงๆ เสนาบดีต้องทำหน้าที่เสนาบดี พ่อต้องทำหน้าที่ของพ่อ ลูกต้องทำหน้าที่ของลูก"
ขงจื่อเป็นผู้ก่อตั้งลัทธิหรู ซึ่งเป็นปรัชญาการใช้ชีวิตและการปกครองที่เน้นเมตตาธรรม และมีลูกศิษย์ 3,000 คน เมื่ออายุ 55 ปี ขงจื่อเริ่มพาลูกศิษย์ตระเวนไปยังแคว้นต่างๆ เพื่อเผยแพร่หลักรัฐศาสตร์ของเขา แต่สิ่งที่ขงจื่อสอนไม่ได้เน้นที่เนื้อหาการเมืองเท่านั้น แต่เขายังเน้นการจรรโลงประเทศให้มีความเจริญด้วยศีลธรรม อีกทั้งยังตั้งโรงเรียนขึ้นมาสอนจริยธรรมและวัฒนธรรมอย่างจริงจัง จนมีชื่อเสียงขจรขจายไปไกล หลังจากที่ขงจื่อล่วงลับไปแล้ว ลูกศิษย์ของเขาได้รวบรวมคำสอนและหนังสือที่ขงจื่อแต่งขึ้นมาเป็นคัมภีร์หลัก ของลัทธิ และได้สืบทอดเผยแพร่หลักจริยธรรมของขงจื่อกันเรื่อยมา จนหลักคำสอนของขงจื่อได้ฝังรากลึกลงในแนวคิดของคนจีน และมีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมจีนเป็นอย่างมาก ปัจจุบัน องค์การยูเนสโกได้ยกย่องให้ขงจื่อเป็น 1 ใน 10 บุคคลที่มีชื่อเสียงด้านวัฒนธรรมของโลก 

สำหรับคำสอนของขงจื่อนั้น มีจำนวนมากมาย เนื้อหาครอบคลุมทั้งด้านการศึกษา การพัฒนาตนเอง การเข้าสังคม การเมือง การคบเพื่อน คุณธรรมและความกตัญญู แนนขอนำบางส่วนมาแนะนำให้กับเพื่อนๆ ดังนี้ค่ะ
1. สุภาพชนควรมีความรู้กว้างขวางหลายด้าน
君子不器。
2. จงขยันเรียนรู้อย่างไม่รู้จักเพียงพอ และสั่งสอนผู้อื่นอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
学而不厌,诲人不倦。
3. หากเรียนหนังสือแต่ไม่รู้จักใช้สมองคิดพิจารณาก็จะพบกับความสับสน หากมัวแต่เพ้อฝันแต่ไม่รู้จักหาความรู้ใส่ตนก็จะอยู่แต่ในวังวนแห่งความคิด อันอันตราย
学而不思则罔,思而不学则殆。
4. หากตอนเช้าได้รู้แจ้งถึงสัจธรรมแล้ว คืนนั้นแม้ตายก็นอนตาหลับ
朝闻道,夕死可也。
5. กาลเวลาที่ผ่านไปก็เหมือนสายน้ำที่ไหลไปอย่างไม่หยุดยั้ง
逝者如斯夫!不舍昼夜。
6. คนที่มีความรู้สู้คนที่ชอบการเรียนรู้ไม่ได้ คนที่ชอบการเรียนรู้สู้คนที่เรียนอย่างมีความสุขไม่ได้
知之者不如好之者,好之者不如乐之者。
7. ติเตียนตนเองให้มาก และติเตียนผู้อื่นให้น้อย เช่นนี้ย่อมจะหลีกเลี่ยงความแค้นเคืองกันได้
躬自厚而薄责于人,则远怨矣。
8. สิ่งที่ตนเองไม่อยากทำหรือไม่อยากได้ ก็อย่ายัดเยียดให้กับผู้อื่น
己所不欲,勿施于人。
9. อย่าเพียงแต่ฟังแค่ลมปาก การจะเชื่อถือบุคคลใดยังต้องพิจารณาพฤติกรรมของเขาด้วย
听其言而观其行。
10. คนที่ฉลาดจะไม่ทำผิดต่อผู้อื่น และจะไม่ผิดคำพูดของตนเองเช่นกัน
知者不失人,亦不失言。
11. ถ้ารักเขา ต้องไม่ปล่อยให้เขาเอาแต่สบาย
爱之,能勿劳乎?
12. หากรู้จริงพึงบอกว่ารู้ หากไม่รู้พึงบอกว่าไม่รู้ นั่นแหละคือวิถีของปัญญาชน
知之为知之,不知为不知,是知也。
13. ผู้ที่ไม่รักษาสัจจะวาจา จะเข้าสังคมได้อย่างไร
人而无信,不知其可也。
14. การไม่กล้ายืดอกทำสิ่งที่เป็นธรรม นั่นแหละคือความขี้ขลาด
见义不为,无勇也。
15. การเคารพนับถือบิดามารดาและรักใคร่ปรองดองในหมู่พี่น้อง เป็นพื้นฐานของความรักใคร่เมตตาต่อผู้อื่น
孝弟也者,其为人之本与? 

อ่านคำสอนของขงจื่อมาจนถึงตรงนี้ เพื่อนๆ พอจะได้คำตอบของคำถามในตอนต้นบทความหรือยังคะ ว่าทำไมกระแสนิยมขงจื่อจึงได้มาแรงมากในปัจจุบัน โดยส่วนตัวแล้ว แนนคิดว่าปัจจัยมีอยู่ 2 อย่างค่ะ ปัจจัยพื้นฐานก็คือ ปรัชญาความคิดของขงจื่อได้ฝังลึกอยู่ในสังคมจีนมานานหลายศตวรรษ และในปัจจุบันก็ยังส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวจีนในหลายๆ ด้าน ส่วนปัจจัยที่เป็นตัวกระตุ้นก็คือ สภาวะสังคมจีนยุคปัจจุบัน ที่เศรษฐกิจมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ผู้คนตกอยู่ในภาวะแก่งแย่งกันทางวัตถุ สภาวะเช่นนี้ทำให้ชาวจีนโหยหาความสงบทางจิตใจ และหนทางแก้ไขปัญหาอย่างปรองดอง ถ้อยคำทั้งหลายของขงจื่อ ที่เป็นคำสั่งสอนแบบพื้นๆ เน้นเป้าหมายในการดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่ายและหลีกเลี่ยงการเอารัดเอา เปรียบในสังคม จึงกลายมาเป็นหนึ่งในวิธีตอบโจทย์ปัญหาเหล่านี้.
แนน

ที่มา: Chaina radio international , เข้าเมื่อ 18/7/2554

23 มิถุนายน 2554

A banana a day keeps the doctor away

กล้วย มีน้ำตาลธรรมชาติถึง 3 ชนิดเป็นส่วนประกอบ ได้แก่ ซูโครส(Sucrose), ฟรุคโตส(Fructose) และ กลูโคส (Glucose) รวมไปถึงพวกไฟเบอร์หรือเส้นใยต่างๆ ซึ่งทำให้กล้วยกลายเป็นแหล่งพลังงานขนาดใหญ่ที่ร่างกายสามารถนำมาใช้ได้ทันที จากการวิจัยพบว่า กล้วยเพียงแค่ 2 ลูกก็ให้พลังงานเพียงพอสำหรับการทำงานอย่างหนักเป็นเวลา 90 นาทีได้ ไม่น่าแปลกใจเลยที่กล้วยเป็นผลไม้คู่กายอันดับหนึ่งของพวกนักกีฬาชั้นนำระดับโลก นอกจากกล้วยจะให้พลังงานมากมายแล้ว กล้วยยังช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ และเพิ่มความแข็งแรง สมบูรณ์ให้กับร่างกายของเราได้อีกด้วย อาทิเช่น
โรคซึมเศร้า
จากการสำรวจโดย MIND ในกลุ่มของผู้ที่มีอาการซึมเศร้า หลายๆคนรู้สึกดีขึ้นเมื่อทานกล้วยเข้าไป นี่เป็นเพราะว่ากล้วยมีส่วนประกอบของ Tryptophan ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่ร่างกายของเราจะเปลี่ยนให้เป็น Serotonin ที่รู้จักกันดีว่าจะทำให้เรารู้สึกผ่อนคลาย ทำให้อารมณ์ดีขึ้นและมีความสุขมากขึ้น  
PMS (Premenstrual Sysdrome - อาการแปลกๆที่ผู้หญิงเป็นก่อนมีประจำเดือน
ลืมการกินยาไปได้เลย - กินกล้วยกันดีกว่า กล้วยมีส่วนประกอบของวิตามิน B6 ที่ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดของคุณให้คงที่ ซึ่งมีผลไปถึงอารมณ์ของคุณด้วย
โรคโลหิตจาง
กล้วยมีธาตุเหล็กอยู่มาก ทำให้มันสามารถกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงและช่วยรักษาอาการโลหิตจางได้
โรคเกี่ยวกับความดันโลหิต กล้วยมีโปแตสเซียม (Potassium) สูงมากในขณะที่มีเกลือต่ำ ทำให้มันเป็นผลไม้ที่เหมาะสมที่สุดในการจัดการกับความดันเลือด มันให้ผลดีขนาดที่ว่า องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกายอมให้โรงงานผลิตกล้วยกล่าวอ้างได้ว่ากล้วยช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเกี่ยวกับความดันโลหิตได้
 ยุงกัด
ก่อนที่จะไปหยิบเอายาทายุงกัดมาใช้ ลองเอาผิวด้านในของเปลือกกล้วยมาถูๆบริเวณที่ยุงกัดดู หลายคนพบว่ามันช่วยลดอาการบวมและคันได้อย่างไม่น่าเชื่อ
พลังสมอง
นักเรียนกว่า 200 คนของโรงเรียน Twickenham กินกล้วยพร้อมอาหารเช้า ช่วงพัก และอาหารกลางวันเพื่อช่วยเพิ่มพลังสมองในการสอบของปีที่ผ่านมา จากการวิจัยพบว่ากล้วยซึ่งอุดมไปด้วยโปแตสเซียมนี้ช่วยให้นักเรียนรู้สึกตื่นตัวมากขึ้นทำให้เรียนได้ดีขึ้นในที่สุด
โรคท้องผูก
กล้วยมีไฟเบอร์สูงช่วยให้ลำไส้ใหญ่ของเรากลับมาทำงานได้เป็นปกติโดยไม่ต้องพึ่งพาพวกยาถ่ายต่างๆอีกต่อไป
อาการแฮงค์ (เมาค้าง)
หนึ่งในวิธีรักษาอาการแฮงค์ให้เร็วที่สุดก็คือการกิน Banana milkshake ผสมน้ำผึ้ง กล้วยช่วยให้กระเพาะอาหารของเรากลับมาอยู่ในสภาพปกติ น้ำผึ้งช่วยเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด และนมจะช่วยเพิ่มน้ำให้กับร่างกายของคุณได้ด้วย  
อาการเจ็บเสียดหน้าอก
กล้วยช่วยให้เกิดปฏิกริยาในร่างกายที่จะไปหักล้างพวกกรดในกระเพาะอาหารที่มีเยอะเกินไปได้ (กรดพวกนี้แหละที่ทำให้เรารู้สึกเจ็บเสียดที่หน้าอก) การกินกล้วยจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดนี้ได้
Morning Sickness (อาการคลื่นไส้และอาเจียนเวลาตื่นนอนตอนเช้า จะเป็นมากในผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ระยะแรก
การกินกล้วยเป็นของว่างระหว่างมื้อจะช่วยเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดของคุณ ซึ่งสามารถช่วยลดอาการ morning sickness ได้
ระบบประสาท
กล้วยมีวิตามิน B สูงซึ่งมีช่วยในการทำงานของระบบประสาทของเรา
 น้ำหนักเกินเพราะการทำงาน
จากการศึกษาของสถาบันด้านจิตวิทยาในออสเตรียพบว่าความกดดันที่เกิดจากการทำงานนำไปสู่พฤติกรรมการกินที่ไม่ดี เช่น ช็อคโกแลตและมันฝรั่งทอด เมื่อพิจารณาผู้ป่วยกว่า 5000 คน นักวิจัยพบว่าคนที่เป็นโรคอ้วนส่วนใหญ่ทำงานที่มีความกดดันสูง รายงานนั้นสรุปว่าถ้าต้องการหลีกเลี่ยงการกินอย่างไม่ยั้งคิด เราต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดโดยเลือกทานของว่างที่มีคาร์โบไฮเดรตเยอะๆ ทุกสองชั่วโมง ... จะอะไรซะอีก...ก็ กล้วยไง

โรคแผลในกระเพาะอาหาร
กล้วยเป็นอาหารที่ใช้ต่อสู้กับอาการผิดปกติต่างๆในระบบทางเดินอาหารได้เนื่องจากกล้วยมีผิวสัมผัสที่นุ่มและลื่น กล้วยเป็นผลไม้ชนิดเดียวที่สามารถทานได้โดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อผู้ที่เป็นแผลเรื้อรัง กล้วยยังช่วยปรับภาวะกรดเกินในกระเพาะอาหารให้กลับสู่ปกติได้ รวมทั้งช่วยลดอาการระคายเคืองเพราะกล้วยจะช่วยเคลือบผิวของกระเพาะอาหารได้
ช่วยควบคุมอุณหภูมิในร่างกาย
หลายๆท้องถิ่นเห็นว่ากล้วยเป็นผลไม้ที่ช่วยทำให้ทั้งอุณหภูมิร่างกายและอารมณ์ของคนที่กำลังจะเป็นแม่เย็นลงได้ ในประเทศไทย ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์มักจะทานกล้วยเพื่อให้แน่ใจว่าลูกของพวกเธอจะเกิดมาด้วยอุณหภูมิที่เย็น
Seasonal Affective Disorder (SAD)
กล้วยช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้าได้เพราะมันมีสารประกอบ Tryptophan ที่ช่วยในการควบคุมอารมณ์
การสูบบุหรี่
กล้วยยังสามารถช่วยคนที่ต้องการเลิกบุหรี่ได้ด้วย กล้วยมีวิตามิน B6 และ B12 รวมไปถึงโปแตสเซียมและแมกนีเซียมที่ช่วยในการฟื้นฟูร่างกายจากผลของการเลิก นิโคตินได้  
ความเครียด
โปแตสเซียมคือวิตามินแห่งชีวิต มันช่วยให้หัวใจเต้นเป็นปกติ ช่วยในการส่งออกซิเจนไปยังสมอง และยังช่วยรักษาสมดุลของน้ำในร่างกายด้วย เมื่อเราเครียด อัตราการเผาผลาญพลังงานของเราจะเพิ่มขึ้นซึ่งทำให้ระดับโปแตสเซียมในร่างกายลดลง ปัญหานี้แก้ได้โดยการทานกล้วยซึ่งมีโปแตสเซียมอยู่เยอะ
โรคเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงสมองอุดตัน (Stroke)
จากการวิจัยของ The New England Journal of Medicine พบว่าการกินกล้วยเป็นประจำช่วยลดความเสี่ยงของการตายเพราะเส้นเลือดอุดตันได้ถึง 40 % 


กล้วยมีประโยชน์ในด้านการรักษาโรคต่างๆมากมายแค่ไหน ถ้าเทียบกับแอปเปิ้ลแล้ว กล้วยให้โปรตีนมากกว่าถึง 4 เท่า ให้คาร์โบไฮเดรตมากกว่า 2 เท่า ให้ฟอสฟอรัสเป็น 3 เท่า ให้วิตามิน A และธาตุเหล็กมากถึง 5 เท่า รวมไปถึงให้วิตามินและแร่ธาตุอื่นๆมากกว่าถึง 2 เท่า นอกจากนี้กล้วยยังมีโปแตสเซียมสูงและเป็นผลไม้ที่ให้คุณค่ามากที่สุดอย่างหนึ่ง ดังนั้นมันอาจจะถึงเวลาแล้วที่เราจะเปลี่ยนประโยคยอดฮิตอันหนึ่งให้กลายเป็น A banana a day keeps the doctor away
ไม่น่าเชื่อเลยเนาะว่ากล้วย...ผลไม้ธรรมดาๆที่เราเห็นมาตั้งแต่เกิดเนี่ย จะมีประโยชน์มากมายขนาดนี้

22 พฤษภาคม 2554

3x8=23 =ช่วยชีวิตคนหนึ่ง ตามคุณธรรมขงจื้



เอี๋ยนหุยใฝ่ศึกษา มีคุณธรรมงดงาม เป็นศิษย์รักของขงจื้อ มีอยู่วันหนึ่ง เอี๋ยนหุยออกไปทำธุระที่ตลาด เห็นผู้คนจำนวนมากห้อมล้อมอยู่ที่หน้าร้านขายผ้า
จึงเข้าไปสอบถามดู จึงรู้ว่าเกิดการพิพาทระหว่างคนขายผ้ากับลูกค้า
ได้ยินลุกค้าตะโกนเสียงดังโหวกเหวกว่า “3x8ได้ 23 ทำไมท่านถึงให้ข้าจ่าย24เหรียญล่ะ!”
เอี๋ยนหุยจึงเดินเข้าไปที่ร้าน หลังจากทำความเคารพแล้ว ก็กล่าวว่า “พี่ชาย 3x8 ได้ 24 จะเป็น 23 ได้ยังไง? พี่ชายคิดผิดแล้ว ไม่ต้องทะเลาะกันหรอก”
คนซื้อผ้าไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง ชี้หน้าเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า “ใครให้เจ้าเข้ามายุ่ง! เจ้าอายุเท่าไหร่กัน! จะตัดสินก็มีเพียงท่านขงจื้อเท่านั้น ผิดหรือถูกมีท่านผู้เดียวที่ข้าจะยอมรับ
ไป ไปหาท่านขงจื้อกัน ”
เอี่ยนหุยกล่าวว่า “ก็ดี หากท่านขงจื้อบอกว่าท่านผิด ท่านจะทำอย่างไร?”
คนซื้อผ้ากล่าวว่า“หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมให้หัวหลุดจากบ่า! แล้วหากเจ้าผิดล่ะ?”
เอี๋ยนหุยกล่าวว่า “หากท่านวินิจฉัยว่าข้าผิด ข้ายอมถูกปลดหมวก(ตำแหน่ง)”
ทั้งสองจึงเกิดการเดิมพันขึ้น
เมื่อขงจื้อสอบถามจนเกิดความกระจ่าง ก็ยิ้มให้กับเอี๋ยนหุยและกล่าวว่า “3x8ได้ 23 ถูกต้องแล้วเอี๋ยนหุย เธอแพ้แล้ว ถอดหมวกของเธอให้พี่ชายท่านนี้เสีย”
เอี๋ยนหุย ไม่โต้แย้ง ยอมรับในการวินิจฉัยของท่านอาจารย์ จึงถอดหมวกที่สวมให้แก่ชายคนนั้น
ชายผู้นั้นเมื่อได้รับหมวกก็ยิ้มสมหวังกลับไป
ต่อคำวินิจฉัยของขงจื้อ ต่อหน้าแม้เอี๋ยนหุยจะยอมรับ แต่ในใจกลับไม่ได้คิดเช่นนั้น
เอี๋ยนหุยคิดว่าท่านอาจารย์ชรามากแล้ว ความคิดคงเลอะเลือน จึงไม่อยากอยู่ศึกษากับขงจื้ออีกต่อไป
พอรุ่งขึ้น เอี๋ยนหุยจึงเข้าไปขอลาอาจารย์กลับบ้าน ด้วยเหตุผลที่ว่าที่บ้านเกิดเรื่องราว ต้องรีบกลับไปจัดการ
ขงจื้อรู้ว่าเอี๋ยนหุยคิดอะไรอยู่ ก็ไม่ได้สอบถามมากความ อนุญาตให้เอี๋ยนหุยกลับบ้านได้
ก่อนที่เอี๋ยนหุยจะออกเดินทาง ได้เข้าไปกราบลาขงจื้อ ขงจื้อกล่าวอวยพรและให้รีบกลับมาหากเสร็จกิจธุระแล้ว
พร้อมกันนั้นก็ได้กำชับว่า “อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง”
เอี๋ยนหุยคำนับพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์จะจำใส่ใจ” แล้วลาอาจารย์ออกเดินทาง
เมื่อออกเดินทางไปได้ระยะหนึ่ง เกิดพายุลมแรงสายฟ้าแลบแปลบ เอี๋ยนหุยคิดว่าต้องเกิดพายุลมฝนเป็นแน่
จึงเร่งฝีเท้าเพื่อจะเข้าไปอาศัยอยู่ไต้ต้นไม้ใหญ่ แต่ก็ฉุกคิดถึงคำกำชับของท่านอาจารย์ที่ว่า “อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่ อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง”
เราเองก็ติดตามท่านอาจารย์มาเป็นเวลานาน ลองเชื่ออาจารย์ดูอีกสักครั้ง คิดได้ดังนั้น จึงเดินออกจากต้นไม้ใหญ่
ในขณะที่เอี๋ยนหุยเดินไปได้ไม่ไกลนัก บัดดล สายฟ้าก็ผ่าต้นไม้ใหญ่นั้นล้มลงมาให้เห็นต่อหน้าต่อตา เอี๋ยนหุยตะลึงพรึงเพริด
คำกล่าวของพระอาจารย์ประโยคแรกเป็นจริงแล้ว หรือตัวเราจะฆ่าใครโดยไม่รู้สาเหตุ?

เอี๋ยนหุยจึงรีบเดินทางกลับ กว่าจะถึงบ้านก็ดึกแล้ว แต่ไม่กล้าปลุกคนในบ้าน เลยใช้ดาบที่นำติดตัวมาค่อยๆเดาะดาลประตูห้องของภรรยา
เมื่อเอี๋ยนหุยคลำไปที่เตียงนอน ก็ต้องตกใจ ทำไมมีคนนอนอยู่บนเตียงสองคน!
เอี๋ยนหุยโมโหเป็นอย่างยิ่ง จึงหยิบดาบขึ้นมาหมายปลิดชีพผู้ที่นอนอยู่บนเตียง
เสียงกำชับของอาจารย์ก็ดังขึ้นมา “อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง”

เมื่อเขาจุดตะเกียง จึงได้เห็นว่า คนหนึ่งคือภรรยา อีกคนหนึ่งคือน้องสาวของเขาเอง
พอฟ้าส่าง เอี๋ยนหุยก็รีบกลับสำนัก
เมื่อพบหน้าขงจื้อจึงรีบคุกเข่ากราบอาจารย์และกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ คำกำชับของท่านได้ช่วยชีวิตของศิษย์ ภรรยาและน้องสาวไว้
ทำไมท่านจึงรู้เหมือนตาเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับศิษย์บ้าง?”
ขงจื้อพยุงเอี๋ยนหุยให้ลุกขึ้น และกล่าวว่า “เมื่อวานอากาศไม่ค่อยสู้ดีนัก น่าจะมีฟ้าร้องฟ้าแลบเป็นแน่
จึงเตือนเธอว่า อย่าแฝงเร้นกายใต้ต้นไม้ใหญ่
และเมื่อวาน เธอจากไปด้วยโทสะ แถมยังพกดาบติดตัวไปด้วย
อาจารย์จึ้งเตือนเธอว่า อย่าฆ่าผู้ใดหากไม่ชัดแจ้ง ”
เอี๋ยนหุยโค้งคำนับ “ท่านอาจารย์คาดการดังเทวดา ศิษย์รู้สึกเคารพเลื่อมใสท่านเหลือเกิน”
ขงจื้อจึงตักเดือนเอี๋ยนหุยว่า “อาจารย์ว่าที่เธอขอลากลับบ้านนั้นเป็นการโกหก ที่จริงแล้วเธอคิดว่าอาจารย์แก่แล้ว ความคิดเลอะเลือน
ไม่อยากศึกษากับอาจารย์อีกแล้ว เธอลองคิดดูสิ อาจารย์บอกว่า 3x8ได้ 23 เธอแพ้ ก็เพียงแค่ถอดหมวก
หากอาจารย์บอกว่า 3x8ได้ 24 เขาแพ้ นั่นหมายถึงชีวิตของคนๆหนึ่ง เธอคิดว่าหมวกหรือชีวิตสำคัญล่ะ? ”

เอี๋ยนหุยกระจ่างในฉับพลัน คุกเข่าต่อหน้าขงจื้อ แล้วกล่าวว่า “ท่านอาจารย์เห็นคุณธรรมเป็นสำคัญ โดยไม่เห็นแก่เรื่องถูกผิดเล็กๆน้อยๆ
ศิษย์คิดว่าอาจารย์แก่ชราจึงเลอะเลือน ศิษย์เสียใจเป็นที่สุด”

จากนั้นเป็นต้นไป ไม่ว่าขงจื้อจะเดินทางไปยังแห่งหนตำบลใด เอี๋ยนหุยติดตามไม่เคยห่างกาย

บางครั้งคุณอาจเอาชนะคนอื่นด้วยเหตุผลของคุณ แต่อาจจะสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดไป ”
เรื่องราวต่างๆ แบ่งเป็นหนักเบารีบช้า อย่าเป็นเพราะต้องการเอาชนะให้ได้ แล้วทำให้เสียใจไปตลอดชีวิต
เรื่องราวมากมายที่ไม่ควรทะเลาะกัน ถอยหนึ่งก้าวทะเลกว้างฟ้างาม


ทะเลาะกับลูกค้า ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (วันที่ส่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์ใหม่ คุณก็จะรู้สึก)
ทะเลาะกับเถ้าแก่ ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (วันที่ตรวจผลงานปลายปีมาถึง คุณก็จะรู้สึก)
ทะเลาะกับภรรยา ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (เธอไม่สนใจคุณ คุณก็หากับข้าวกินเองละกัน)
ทะเลาะกับเพื่อน ต่อให้ชนะ ก็แพ้อยู่ดี (เคลียร์ไม่ได้ คุณอาจจะเสียเพื่อนไปเลย)


ใบชา เกิดสีสวยและกลิ่นหอมน่าลิ้มลองได้ ก็เพราะโดนน้ำร้อนลวก
ชีวิตของคนเราก็เช่นเดียวกัน เพราะเผชิญกับอุปสรรคครั้งแล้วครั้งเล่า
จึงเหลือไว้ซึ่งเรื่องราวเป็นตำนานให้ได้เล่าขานน่าตามติด
ผู้ที่รู้สำนึกคุณอยู่เสมอ จึงเป็นผู้มีวาสนามากที่สุด

23 เมษายน 2554

Thai is india...out part... Indian wall Atr

พวกเราจาก Bodh gaya โดยเดินทางโดยรถไฟมาลงสถานี Howrah ที่ Kolkata มาถึง 6 โมงเย็นกว่าๆ ขณะเดินทางบนรถไฟ พวกเราได้แลกเปลี่ยนความรู้ประวัติศาสตร์ไทย ตอนครั้งฝรั่งเศษเข้ามาเมืองไทยครับ พวกพี่เล่ากัยได้สนุกมา ทำให้รู้สึกถึงความภูมิใจในการเป็นคนไทยเข้าไปอีก คนไทยสมัยโบราณเก่งมาก ฉลาด สุดๆ ครับ แล้วพวกเราเดินทางเข้าที่พักที่วัดเบงกอลครับ อัดกันไปเลย 4 คน ห้องเดียวครับ ห้องแอร์เย็นสบาย พวกเราำทานอาหารที่ย่านไชน่าทาวน์ครับ อิ่มท้องแล้วไม่ไปไหนครับกลับเข้าห้องทันทีพักผ่อนกัน เพราะตอนเช้าเราจะเดินทางทัวร์ที่ The Victoria Memorial เองผมเดินทางไปครั้งที่ 2 แล้วครับ ที่นี้เหมือนห้องเรียนประวัติศาสตร์ของประเทศอังกฤษ และอินเดียครับ เมื่อท่านเข้าไปจะได้เห็นภาพประวัติศาสตร์อินเดียอย่างจุใจครับ คนอินเดียรักษารูปแบบการดำเนินชีวิตของเค้ามาเป็น 1000 กว่าปี ครับ เมื่อท่านออกมาจากThe Victoria Memorial ท่านสามารถพูดได้เต็มปากครับว่าท่านเรียนประวัติศาสตร์อินเดียและอังกฤษมาแล้วเต็มปากครับ แต่สิ่งที่ผมประทับใจคนอินเดียอีกอย่างครับคือ งานศิลปะบนผนังกำแพง เป็นการโฆษณาสินค้าครับ หรือ Ads on the walls. มันดูสดุดตามากครับเพราะมันเป็นภาพใหญ่ๆ เป็นที่นิยมมากครับในประเทศอินเดียเป็นการหาเงินแบบง่ายๆ สดุดตาลูกค้าที่ผ่านมาเห็นครับ


สถานี Howrahถ้าอ่านประวัติศาสตร์ไทยนะครับ ร. ๕ เคยเสด็จมาถึงนี้นะครับ

เมื่อเช้าวันที่ 20 มีนาคม 2554 พวกเราไปเดินทางไปเยี่ยมชม University of kolkata กันแล้วจึงไปThe Victoria Memorial ครับ





University of Kolkata

Indian wall Art คือ ศิลปะหลายๆอย่างนะครับที่ทำขึ้น แต่ผมชอบมากเพราะได้ใจ เพราะเป็นศิลปะบนกำแพงที่หาเงินได้ง่ายๆให้กับเจ้าของครับ และดูเท่ห์ดี สดุดตามากครับ และได้ผลทางการค้าด้วยครับ เลยเก็บภาพมาฝาก ขอบอกว่านิยมมากไม่แพ้การโฆษณาทางทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์และสื่อออนไลน์ครับ เป็นสีสันอีกรูปแบบหนึ่งครับ








Indian wall Art

คำสั่งสอนของท่านพุทธทาส


เขามีส่วนเลวบ้างช่างหัวเขา

จงเลือกเอาส่วนที่ดีเขามีอยู่

เป็นประโยชน์โลกบ้างยังน่าดู

ส่วนที่ชั่วอย่าไปรู้ของเขาเลย

จะหาคนมีดีโดยส่วนเดียว

อย่ามัวเที่ยวค้นหาสหายเอ๋ย

เหมือนเที่ยวหาหนวดเต่าตายเปล่าเอย

ฝึกให้เคยมองแต่ดีมีคุณจริง

นึกๆไว้นะครับว่าจงเลือกเอาสิ่งดีของเขา


พี่ ดร. กำลังตรวจไข้กับคุณหมออินเดียครับ ตรวจละเอียดมากครับ

พวกพี่สิครับต้องกลับวันที่ 20 แต่ของผมกลับวันที่ 22 เพราะกำหนดตั๋วเดินทางกลับวันที่ 22 ครับ เลยคิดต้องการไป Sundarbans National park ครับแต่กินเผือกครับไม่ใช่ครับกินแห้วครับ เพราะการเดินทางลำบาก จะไปส่องสัตว์ครับ เช่น Bengal tigers รายการสารคดีดังทางทีวีเมืองนอกเคยไปทำรายการครับ เอาไว้โอกาสหน้าดีกว่า ตอนนี้คิดถึงประเทศไทย คิดถึงปลาร้า คิดถึงไตปลา คิดถึงอาหารไทยเต็มที่ กะว่ากลับมาถึงเมืองไทยจะสวาปามให้หนักเลย ฮิฮิ.

10 เมษายน 2554

This is India

รูปบนนี้ตั้งวันที่ผิดที่จริงวันที่ 17 MAR 2001 ตามรูปด้านล่างนี้ครับ ผมได้เดินทางไปอินเดียด้วยกันอีกครั้งหนึ่งกับญาติธรรมและ ท่าน ดร. ปลัด พงษ์ธณนท์ เมื่อวันที่ 16 MAR 2011 พวกเราเดินทางถึงเมือง Kolkata ประมาณสี่ทุ่มกว่าๆ พวกเราเดินทางโดยรถบัสที่มาจอดรอรับพวกเรา 10 กว่าชีวิตก็เดินทางมุ่งหน้าไปเมือง GAYA ใช้เวลาประมาณ 10 กว่าชั่วโมง รถวิ่งช้า ถ้าเป็นรถไฟประมาณ 6 - 7 ชั่วโมง จุดหมายคือวัดไทยมคธ เป็นการอาศัยกลุ่มญาติธรรมที่เดินทางมานมัสการพุทธสถาน 4 ตำบล ครับ จุดมุ่งหมายของเรามีสองอย่างคือมาติดต่อมหาวิทยาลัยมคธ โดยนัดผู้บริหารมหาวิทยาลัยไว้ครับ และ นมัสการพุทธสถานอีกครั้งหนึ่ง ผมเองเดินทางมาประเทศอินเดียได้ 10 กว่าครั้งแล้วครับ การเดินทางไปแต่ละครั้งจะรู้แต่คนสนิท และที่ผมนำมาเล่าใน Website ของผมเท่านั้นครับ ผมเองไม่ชอบเล่าโอ้อวดตน เช่นการเดินทางไปอินเดีย หรือการทำปริญญาเอก แบบว่ายกตนข่มท่าน อะไรประมาณนั้น มันเลยทำให้ผมได้เห็นอะไรบางอย่างในตัวคนครับที่เรียกว่าไต๋อะไรทำนองนั้นครับ เหลี่ยมกลโกงสารพัด คือพูดง่ายๆว่าสารพิษเลยที่เดียว และชอบเล่ยพวก คนประเภทนี้ขาดความจริงใจให้กัน และอีกอย่างคนประเภทนี้จะเก่งกับคนที่มีความด้อยกว่าทางฐานะเศรษกิจ และทางสังคม หมายถึงจะรังแกหรือแกล้งคนอื่นได้รับความเสียหาย เพราะบางครั้งไปรู้เห็นการกระทำแย่ๆหรือไม่ดีเช่นการโกง หรือ อะไรต่างๆนานา ครับ แต่คนพวกนี้จะกลัวเกรงคนมีฐานนะทางสังคมหรือพวกคนที่มีตำแหน่ง เพราะมีตำแหน่งที่จะให้คุณให้โทษได้จะแสร้งทำเป็นเหมือนคนดี แกล้งทำดี หน้าไหว้หลังหลอก มีคำกล่าวของคนใจนักเลงว่าไว้ว่า คนเลวไม่กลัว แต่กลัวคนดี คนดีต้องนับถือ แต่เดียวนี้ไม่ใช่ครับ ไม่ใช่ให้คนเลวๆมาเหยียบย่ำทำร้ายคนดีๆครับ เหมือนสมัยผมเรียนอยู่มหาวิทยาลัย มีอาจารย์เลวของศูนย์หนึ่ง แกให้คะแนนภาษาอังกฤษเลวมากครับ คนไม่มาเลยมีคะแนนเก็บ คนมากับมีคะแนนน้อยกว่า นี้คืออะไร ผมประท้วงครับเพราะไม่ถูกอย่างมาก มันเป็นสิทธิของผม เพราะผมเองเสียค่าเทอมให้กับมหาวิทยาลัยเราก็จะต้องรักษาสิทธิของเราครับ จริงไหมครับ อาจารย์ทำร้ายลูกศิษย์ตัวเอง เลวระยำมาก อโหสิกรรม ครับ เราเดินทางมาถึงวัดมคธครับ แล้วเข้าที่พักและรับประทานอาหารเที่ยง พักผ่อน เป็นวันที่ 17 / 03 / 2011 พอได้เวลาตอนเย็นพวกเราเดินทางไปที่พุทธสถานสวดมนต์และเวียนเทียนย้อนหลังวันมาฆบูชาครับ ตอนกลางคืนผู้แสวงธรรมสามารถที่จะอยู่ได้ถึงเช้าในการบำเพ็ญเพียรในบริเวณที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ครับโดยบริจาคทำบุญ 100 รูปี ครับ โดยประตูใหญ่จะถูกปิดครับ ได้สวดมนต์เวียนเทียนแล้วสบายใจครับ แล้วพวกเราก็เดินทางกลับวัด ทานอาหารเย็นครับ แล้วพักผ่อนกันครับ เช้าวันที่ 18 MAR 2011 เวลาประมาณ 05:00 AM ครับ ผมได้เดินด้วยเท้าไปยังพุทธสถานโดยเดินผ่านทุ่งนา อากาศเย็นครับไปถึงกลางทางผมนั่งสามล้อไปครับ เพื่อทำวัตรเช้าครับ เริ่มมีคนมาแล้วครับ ผมนั่งทำวัตรเช้านั่งสมาธิแล้วอุทิศบุญกุศลทั้งหลายให้ มี พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย ครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณ เทวดา สัพพสัตว์ทั้งหลาย ผมชอบใช้ บทกรวดน้ำ อิมินา
มีความดังนี้ครับ

อิมินา ปุญญะกัมเมนะ อุปัชฌายา คุณุตตะรา = ด้วยบุญนี้ อุททิศให้ อุปัชฌาย์ ผู้เลิศคุณ
อาจะริยูปะการาจะ มาตาปิตา จะ ญาตะกา ( ปิยา มะมัง )
= และอาจารย์ ผู้เกื้อหนุน ทั้งพ่อแม่ และปวงญาติ

สุริโย จันทิมา ราชา คุณะวันตา นะราปิ จะ
= สูรย์จันทร์ และราชา ผู้ทรงคุณหรือสูงชาติ
พรัหมะมารา จะ อินทา จะ โลกะปาลา จะ เทวะตา = พรหม มาร และอินทราช ทั้งทวยเทพ และโลกบาล
ยะโม มิตตา มะนุสสา จะ มัชฌัตตา เวริกาปิ จะ
= ยมราช มนุษย์มิตร ผุ้เป็นกลาง ผู้จองผลาญ สัพเพ สัตตา สุขี โหนตุ ปุญญานิ ปะกะตานิ เม = ขอให้สุขศานติ์ทุกทั่วหน้า อย่าทุกข์ทน บุญผองที่ข้าทำจงอำนวยศุภผล

สุขัง จะ ติวิธัง เทนตุ ขิปปัง ปาเปถะ โว มะตัง
= ให้สุขสามอย่างล้น ให้ลุถึงนิพพานพลัน
อิมินา ปุญญะกัมเมนะ อิมินา อุททิเสนะ จะ = ด้วยบุญนี้ที่เราทำ และอุทิศให้ปวงสัตว์
ขิปปังหัง สุละเภ เจวะ ตัณหุปาทานะเฉทะนัง
= เราพลันได้ ซึ่งการตัด ตัวตัณหา อุปาทาน
เย สันตาเน หินา ธัมมา ยาวะ นิพพานะโต มะมัง = สิ่งชั่วในดวงใจ กว่าเราจะถึงนิพพาน
นัสสันตุ สัพพะทา เยวะ ยัตถะ ชาโต ภะเว ภะเว = มลายสิ้นจากสันดาน ทุกๆ ภพ ที่เราเกิด
อุชุจิตตัง สะติปัญญา สัลเลโข วิริยัมหินา
= มีจิตตรง และสติปัญญาอันประเสริฐ พร้อมทั้งความเพียรเลิศเป็นเครื่องขูดกิเลสหาย

มารา ละภันตะ โนกาสัง กาตุญจะ วิริเยสุ เม
= โอกาส อย่าพึงมี แก่หมูมารทั้งสิ้นทั้งหลาย เป็นช่อง ประทุษร้ายทำลายล้างความเพียรจม
พุทธาทิปะวะโร นาโถธัมโม นาโถ วะรุตตะโม = พระพุทธผู้วรนาถ พระธรรมที่พึ่งอุดม
นาโถ ปัจเจกะพุทโธ จะ สังโฆ นาโถตตะโร มะมัง = พระปัจเจกะพุทะสมทบ พระสงฆ์ ที่ผึ่งพยอง เตโสตตะมานุภาเวนะ มาโรกาสัง ละภันตุ มา = ด้วยอานุภาพนั้น อย่าเปิดโอกาสให้แก่มาร ( เทอญ)

กรวดน้ำแบบย่อ

อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโยฯ
ขอผลบุญนี้ จงสำเร็จแก่ญาติทั้งหลายของ ข้าพเจ้า ขอญาติทั้งหลายของข้าพเจ้าจงมีความสุข สุขใจเถิดฯ

คำอุทิศส่วนกุศล
ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอุทิศผล .....บุญกุศลแผ่ไปให้ไพศาล ถึงบิดามารดาครูอาจารย์ .....ทั้งลูกหลานญาติมิตรสนิทกัน คนเคยร่วมทำงานการทั้งหลาย .....มีส่วนได้ในกุศลผลของฉัน ทั้งเจ้ากรรมนายเวรและเทวัญ .....ขอให้ท่านได้กุศลผลนี้เถิด ฯ สาธุ.

แล้วผมก็เดินทางกลับวัดไทยมคธเพื่อรับประทานอาหารเช้าและพวกเราได้เดินทางไปบ้านอาจารย์ S.K.ในตัวเมือง GAYA พร้อมกับท่าน ดร.พระจรัญ ท่าน ดร.ปลัด คุยกันเรื่องต่างๆนานา พวกเราคิดถึงมหาวิทยาลัยและอาจารย์ คิดถึงวัดไทยมคธ พอให้หายคิดถึงครับ ที่พุทธคยาเดินทางมากี่ครั้งก็ไม่เบื่อมีแต่ความสุขใจ เพราะได้ทำบุญให้กับตัวเราเองและเผื่อให้ท่านอื่น ผมขอขอบพระคุณอาแปะน่ำที่ท่านได้ออกค่าใช่จ่ายในการเดินทางในครั้งนี้ครับ
ในครั้งหน้าผมจะกลับมาเล่าเรื่องอินเดียต่อครับ

15 มีนาคม 2554

วิเคราะห์การเมืองกับการเลือกตั้งระดับประเทศ

หลังจากท่านนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศจะยุบสภาต้นเดือน พฤษภาคม 2554 แต่รัฐบาลจะต้องรักษาการไปอีก 6 เดือน นั้นก็เพียงพอจนกว่าจะมีการกำหนดการเลือกตั้งใหม่ของ กกต. ออกมาชัดเจน การยุบสภาผู้แทนราษฎรไทย คือการทำให้ความเป็นสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฏรสิ้นสุดลงโดยพระมหากษัตริย์ทรงตราพระราชกฤษฎีกาบัญญัติให้อายุของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงก่อนครบกำหนดตามวาระ อันมีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งสภาพ้นจากตำแหน่งพร้อมกัน เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ คณะรัฐมนตรีที่พ้นจากตำแหน่ง ต้องอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จนกว่าคณะรัฐมนตรีที่ตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่ แต่ในกรณีพ้นจากตำแหน่งจากการยุบสภาผู้แทนราษฎร คณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรีจะปฏิบัติหน้าที่ได้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น ไม่มีสิทธิแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการเป็นต้น ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ2550 จนกว่าจะมีคณะรัฐบาลใหม่เข้ามารับหน้าที่แทน การที่คณะรัฐมนตรีนายอภิสิทธิ์เข้ามารับตำแหน่งเป็นการต่อจากอดีตรัฐบาลนายกสมชาย วงษ์สวัสดิ์ การพลิกขั้วมาจัดตั้งรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาลได้เพราะ 4 พรรคร่วมรัฐบาลเดิม ประกอบด้วย พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคเพื่อแผ่นดิน และพรรคภูมิใจไทยหรือมัชฌิมาธิปไตยเดิม หลังจากการตัดสินใจยุบสภาของท่านนายกอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพื่อให้มีการจัดการเลือกตั้งใหม่ โดยพรรคเพื่อไทย ถือเป็นพรรคใหญ่ไม่น้อยกว่า พรรคประชาธิปัตย์ ฐานเสียงของพรรคเพื่อไทยมีมากทางภาคใหญ่ของประเทศไทยคือภาคอีสาน และภาคเหนือและภาคกลางบ้าง แต่พรรคประชาธิปัตย์ มีฐานเสียงในกรุงเทพ และภาคใต้เท่านั้น ดังนั้นการแข่งขันเลือกตั้งทางภาคอีสาน จึงเป็นการแข่งขันระหว่างพรรค ภูมิใจไทยและพรรคเพื่อไทย และพรรคอื่นประปรายเท่านั้น ดังนั้นพรรคประชาธิปัตย์อาจจะสนับสนุนพรรคภูมิใจไทยให้ลงสมัครแข่งกับพรรคเพื่อไทยก็เป็นได้ ในยามเลือกตั้งใหม่ไม่มีใครช่วยพรรคอื่นแน่นอน เพราะทุกพรรคต้องส่งผู้แทนลงสมัครเพื่อให้ได้ตัวแทนให้มากที่สุดเพื่อเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล การเลือกตั้งใหม่ครั้งนี้บอกได้ว่าเหนื่อยกันแทบทั่วหน้ากันทุกพรรค พรรคที่จะได้ผู้แทนมากก็เห็นจะเป็นพรรคเพื่อไทยเพราะฐานเสียงของพรรคและผู้ลงสมัครผู้แทน ลองลงมาได้แก่พรรคประชาธิปัตย์ หรือได้อันดับ2 แต่ใช่ว่าเมื่อเป็นอันดับ 2 จะไม่ได้เป็นแกนนำจัดตั้งพรรคของพรรคประชาธิปัตย์ เพราะถ้าการจับมืออีกหนของพรรคร่วมรัฐบาลเดิมของชุดนายกอภิสิทธิ์ย่อมได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลอีกหนหนึ่ง โดยตัวแปรที่จะได้จัดตั้งรัฐบาลอีกครั้งของพรรคประชาธิปัตย์คือ
1. พรรค4 พรรคร่วมรัฐบาลเดิม ประกอบด้วย พรรครวมใจไทยชาติพัฒนา พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคเพื่อแผ่นดิน และพรรคภูมิใจไทยหรือมัชฌิมาธิปไตยเดิม
2. ตำแหน่งรัฐมนตรีเกรด A หรืออันดับ 1 นั้นพรรคร่วมต่างๆได้ไปครองหรือได้ตัวแทนของพรรคไปบริหารย่อมหอมหวนให้สนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลอีกครั้ง

แต่ใช่ว่าพรรคเพื่อไทยใช่ว่าจะไม่ได้จัดตั้งรัฐบาลเลย ตัวแปรที่จะทำให้พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลมีดังนี้
1. พรรคเพื่อไทยได้ตัวแทนของผู้แทนราษฎรมากที่สุดจนมีสิทธิ์ตั้งรัฐบาลได้เพียงพรรคเดียว ซึ่งก็ไม่ง่ายเพราะมีตัวแปรอื่นอีก คือ การไหลออกของ ส.ส. ไปสังกัดพรรคอื่นเป็นต้น และการต่อรองกระทรวงเกรด A ที่พรรคร่วมในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์เคยได้กระทรวงเกรด A ครอง คงจะยอมยากที่จะได้กระทรวง เกรด C ไปครอง เมื่อเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย
2. การเข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับบางพรรคเท่านั้นของพรรคเพื่อไทย ซึ่งน่าจะเป็นพรรคชาติไทยพัฒนา นอกนั้นเดินไปเป็นฝ่ายค้านกับพรรคประชาธิปัตย์คอยตรวจสอบรัฐบาล


ส่วนพรรคน้องใหม่เช่นพรรคการเมืองใหม่ของกลุ่มพันธมิตรหรือเสื้อเหลืองจะได้ตัวแทนบ้างไม่กี่ท่านอยู่ที่ตัวแทนลงสมัคร และนโยบายพรรคเองที่จะเป็นตัวแปรกำหนด โดยจะเป็นการชิงกันเองในกรุงเทพกับพรรคประชาธิปัตย์และจังหวัดอื่นบ้างเล็กน้อย แต่พรรคเพื่อไทยย่อมทุ่มนโยบายเพื่อให้ได้ตัวแทน ส.ส. ให้มากที่สุดเพื่อจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวอีกครั้ง แต่ต้องระวังการตรวจสอบภาคประชาชนทุกขณะเมื่อดำรงตำแหน่ง ดังนั้นการนำประเทศหรือขึ้นอยู่กับผู้บริหารประเทศจะนำพาไปสู่สิ่งที่ดีกว่า หรือมีหลักธรรมภิบาลในการบริหาร ประชาชนและประเทศย่อมสดใส หรือ Happy Trails เส้นทางเดินที่เดินที่ดีไปสู่ความสุขของประชาชนไทยที่มากกว่านี้ ที่เป็นอยู่ ที่มีอยู่ ประเทศชาติก็ได้อนิสงค์ไปด้วย ไม่ใช่เรามากินบุญเก่าของบรรพบุรุษไทยเราอย่างเดียวที่ท่านสร้างไว้ แต่ต้องสร้างสิ่งใหม่ๆที่ดีๆด้วยให้กับประชาชนและประเทศชาติ.

01 มีนาคม 2554

Study India อินเดียศึกษา เรื่อง IT ด้านการพัฒนาศึกษา

อินเดียนับว่าเป็นหนึ่งเรื่องคอมพิวเตอร์หรือเรื่องของการผลิตสร้างพัฒนาด้าน ซอฟต์แวร์ เมืองที่รู้กันว่ามีชื่อเสียงของอินเดียคือ เมืองไฮเดอราบัด HIDERABADที่เป็นแหล่งผลิตด้าน software ซอฟต์แวร์ ที่ยิ่งใหญ่อีกทีหนึ่งของอินเดีย ทั้งนี้สถาบันการศึกษาอย่าง Nethra Vidyalaya Junior college เปิดหลักสูตรการเรียนการสอนฟรีให้กับนักเรียนที่ยากไร้และผู้พิการ ยิ่งได้เทคโนโลยีมาหนุนนำแบบนี้ ทำให้เด็กอินเดียน่าจะมีโอกาสทางการศึกษามากขึ้น นอกเหนือจากเมือง บังกาลอร์ BANGALORA ที่มีชื่อเสียง จึงทำให้สามารถผลิตหรือสร้าง software ซอฟต์แวร์เพื่อเป็นประโยชน์ต่อวงการศึกษาประเทศอินเดียได้ ดังเช่นที่ผมจะแนะนำผมเชื่อ 1000% ว่าไม่มีคนไทยเรารู้มาก่อนแต่ด้วยความที่ไปศึกษาที่ประเทศอินเดียผมจึงหามองสิ่งที่แตกต่างที่เป็นประโยชน์ให้มากที่สุดในขณะไปศึกษาที่ประเทศอินเดียให้มากที่สุดเก็บตวงเพื่อนำมาเล่านำมาศึกษา เหมือนกับว่าท่านไปเรียนที่ไหนหรืออะไรก็ตามจะต้องเก็บตวงสิ่งดีมาๆพัฒนาประเทศเรา ในครั้งนี้ผมจะนำเสนอ INDIAEDUTION ซึ่งเป็นข่าวด้านการศึกษาทั่วประเทศของอินเดีย เป็น TOOLBAR ติดหน้าเว็บไซต์ซึ่งเค้าจะบอกข่าวการศึกษาอินเดียทั่วประเทศประจำทุกวัน UPGRADE ตลอดครับ ผมเล่นมา 5 ปีแล้วครับดีมากๆ ตัวอย่างครับ

จะเห็นตามภาพเลยครับตรงข้อความที่ผมเขียนไว้ตรงนั้นแหละครับข่าวจะวิ่งตลอด

ผมเปิดเว็บขึ้นมาก็ไได้อ่านข่าวการศึกษาประเทศอินเดียนอกเหนือไปจากข่าวในหนังสือพิมพ์เป็นไงครับน่าสนใจไม่น้อยเลยใช่ไหมครับ ผมเอามาให้ ดาวน์โหลดด้วยครับ ที่นี้เลย

http://indiaeducation.ourtoolbar.com/

05 กุมภาพันธ์ 2554

ปรัชญาพุทธกับคนรัก (ที่ไม่รักเรา)

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
มีหญิงสาวคนหนึ่งผิดหวังในรักเนื่องจากคนรักของตนได้มาทิ้งไป
จึงกำลังจะฆ่าตัวตาย
ขณะนั้นเอง
มีพระธุดงส์รูปหนึ่งผ่านมาพบเข้าจึงได้กล่าวให้สติกับสีกา ว่า
"โยมจะทำอะไรรึ"
หญิงสาวตอบ
"อิชั้นจะฆ่าตัวตายเพราะไม่รู้จะอยู่ไปทำไม
มีแฟนๆ ก็มาทิ้งไปเจ้าค่ะ"
พระธุดงส์จึงได้เทศนาให้หญิงสาวฟังว่า
"เหตุใดโยมจึงต้องเสียใจเล่า
ในเมื่อคนที่ควรจะเสียใจควรจะเป็นแฟนของโยมสิ"

หญิงสาวหยุดคิดและถามกลับไปด้วยความสงสัยว่า
"ทำไมล่ะเจ้าคะ"
พระธุดงส์ตอบว่า
"ในเมื่อโยมมิได้สูญเสียสิ่งที่สำคัญไปเลยน่ะสิ"

หญิงสาวตั้งใจฟังพระธุดงส์แล้วก็ตอบกลับไปว่า
"ไม่จริงหรอกค่ะ ดิชั้นสูญเสียแฟนอันเป็นที่รักยิ่งไปนะเจ้าค่ะ"
พระธุดงส์ตอบ
"โยมได้สูญเสียคนที่ มิ ได้รักและห่วงใยโยม
ซึ่งจะมีค่าอันใด
แต่แฟนโยมซิ ที่สูญเสียคนที่รักและห่วงใยเค้าเช่นโยม
ใครควรจะเสียใจกว่ากันล่ะโยม"