Welcome to my blogspot

ดาวน์โหลดบทความใหม่ (dwnld)...ร.๕ กับการเสด็จประพาสประเทศอินเดีย...ขอขอบคุณบทความดีๆที่มีให้เราๆได้อ่าน เสริมปัญญา เป็นอาหารสมอง และให้ความรู้ที่ดีที่สุด­เพราะกลั่นมาจากปัญญาแท้ๆ wel 2013 come / Happy new year

หยิบข่าวมาบอก:Breaking News

r

15 ธันวาคม 2552

เทศกาลปีใหม่ กับ12 สถานที่ศิริมงคลแห่งชีวิต ที่ควรแห่งแก่การกราบไหว้


ปีใหม่ที่จะดำเนินมาถึงนี้ เป็นช่วงจะเปลี่ยนปีเก่าไปสู่ปีใหม่ อายุของคนเราก็จะมากขึ้นไปอีก เมื่อถึงเดือนเกิดของทุกๆคนจะมีอายุเพิ่มมากขึ้นอีก 1 ปี พรที่เป็นศิริมงคลที่ดีที่สุดคือการทำความดี แก่ตนเองและคนอื่น หมายความว่าเช่น การได้เลี้ยงดู พ่อ-แม่ ตนเองให้ดี เพราะท่านเป็นผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงเรามาจนใหญ่โต มีกิน มีใช้ มีที่พักสถาน มีงานทำ ก็เพราะพ่อและแม่สร้า้งเอาไว้ เราควรจะตอบแทนท่าน ด้วยการดูแลเอาใจใส่ท่าน พ่อและแม่เลี้ยงดูเราให้เรามากกว่า ที่เราให้ท่าน เพราะอะไร เพราะว่าท่านเลี้ยงดูเราไปจนถึงวันที่ท่านสิ้นลมหายใจ ท่านทั้งหลายโชคดีที่มี พ่อและแม่ หลวงพี่เองไม่มีแม่ แต่จดจำพระคุณที่ยิ่งใหญ่ของท่านได้ไม่เคยจางหายไปจากจิตใจของหลวงพี่เลยสักนิดเดียว สมัยก่อนพ่อหลวงพี่ไปลักมาจากแม่แล้วพามาอยู่กับ ปู่-ย่า และป้า ที่สุโขทัย ตั้งแต่ยังเด็ก จึงไม่ได้พบกับโยมแม่หลวงพี่อีกเลย แต่ตั้งจิตไว้ว่าเมื่อโตขึ้นพอจะเลี้ยงตัวได้แล้ว ก็จะตามหาแม่ของตนเองให้พบแล้วตอบแทนเลี้ยงดูท่าน หลวงพี่ก็ได้ทราบความจากโยมพ่อว่า โยมแม่เป็นคนมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น พ่อของหลวงพี่เคยมามัญจาคีรีกับโยมแม่ด้วย หลวงพี่ยังจำความได้ว่าเคยวิ่งเล่นอยู่มัญจาคีรีสมัยเด็ก 3-5 ขวบประมาณนี้โยมแม่หวงหลวงพี่มากประมาณว่าความรักของแม่หลวงพี่นั้นยิ่งใหญ่กับลูกมาก หลวงพี่จึงได้มาตามหาท่านที่มัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น หาไม่ยากเลย แต่ไม่พบกับโยมแม่ พบแต่ ยาย และ พี่น้องของแม่เท่านั้น ด้วยความปลื้มใจนะที่ได้พบกับครอบครัวญาติคุณแม่ จึงมาอยู่มัญจาคีรีตามคำนิมนต์ของคุณยาย จอม กองค้า อายุของยาย จอม 85 เห็นจะได้แล้ว เพราะท่านก็เคยเลี้ยงดูหลวงพี่มาตั้งแต่ยังเด็ก ไม่พบแม่แต่พบยายก็ยังดี และหลวงพี่เลยได้มาจำพรรษาอยู่ที่ขอนแก่น ตั้งแ่ต่นั้นมา และได้มีโอกาสเพี่มทักษะวิชาการให้กับตนเองเพิ่มมากขึ้นด้วยเพราะเห็นว่าสาขาวิชาน่าสนใจ และพอได้ศึกษาเหมือนกับไม่ใช่ปริญญาตรีเลยนะ เพราะ ทุกๆวิชา 3 หน่วยกิต ทั้งหมด มี 3 วิชาเองที่มีแค่ 2 หน่วยกิต อาจารย์ท่านที่มาสอนเดินทางมาจากส่วนกลางคือกรุงเทพ มีทักษะหลากหลายที่ดีมาก ไม่เสียทีที่ได้เข้าศึกษาความรู้ก็มากขึ้น ทักษะก็หลากหลาย คิดว่าจะอยู่ขอนแก่นนะเมื่อก่อน แต่เดียวนี้เปลี่ยนความคิดนั้นเสียแล้ว เพราะได้พบเห็นแต่สิ่งไม่ปรารถนา ที่เรียกว่า ภิกษุสันดานกา เข้าให้ มีจริง ขอยืนยันนั่งยันว่ามีจริง เมื่อก่อนที่มีข่าวการเขียนภาพวาดภิกษุสันดานกา หลวงพี่ก็ฉุนนะเพราะเราเป็นพระ จะมีควมคิดที่แย้งนะ แต่ไม่ได้โกรธเพราะใช่เหตุผลเข้าว่า เพราะมีเขียนไว้ในพระไตรปิฏก แต่เดียวนี้เจอของจริง เอ้อจึงคิดได้ว่า มันจริงเสียแล้ว

เอากลับมาสถานที่ ที่ควรจะดินทางไปกราบไหว้เพื่อเป็นศิริมงคลแก่ชีวิตอีกแก่เราในวันอันจะใกล้ปีใหม่ และในช่วงเทศกาล ดังนี้

1. วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว)
เพราะเป็นวัดโบราณที่สวยงามมากและศักดิ์สิทธิ์ การได้เข้าไปกราบไหว้พระแก้วมรกต จะทำให้ราศรีชีวิต สว่างไสวรุ่งเรืองและดีงาม
2. วัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง)
เพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ในปีใหม่ เหมือนพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า เราตื่นขึ้นมายิ้มรับความสว่างแจ้งจ้า แก่ชีวิต ไหว้พระประธานในโบสถ์
3. ศาลหลักเมือง
เพื่อการมีหลักชัยแห่งชีวิต และศาลหลักเมืองสำคัญอย่างยิ่งยวด
4. วัดสุทัศน์
ไหว้หลวงพ่อพระศรีศากยมุนี ในพระวิหารหลวง เพื่อให้เรามีทรรศนะ ที่ดีงามตามชื่อของวัด
5. วัดพระเชตุพน (วัดโพธิ์)
เป็นวัดเก่าแก่เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทย แล้วตามด้วย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มหาวิทยาลัยสงฆ์) แล้วตามด้วยมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แล้วตามด้วย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโรงเรียนฝึกหัดครู็ อันได้แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร,บ้านเจ้าพระยา,ธนบุรี นี้เอง นอกนั้นยังใหม่นะ
6. วัดชนะสงคราม
เพื่อความมีชัยชนะ มีความสำเร็จ
7. วัดกัลยาณมิตร
ไหว้พระพุทธไตรรัตนนายก (หลวงพ่อโต) เพื่อได้พบกัลยาณมิตรที่ดี หรือเพื่อนดี
8. วัดสระเกศ (ภูเขาทอง)
เพื่อให้ท่านได้ปกเกล้าปกเกศ คุ้มครอง ให้เป็นผู้ที่มีคุณธรรม มีความเจริญ ทั้งทางโลกและทางธรรม
9. วัดระฆังโฆสิตาราม
ไหว้พระประธาน แล้วมาตีระฆัง บอกเทพยาดาอารักษ์ทั้ง 16 ชั้นฟ้าและ 15 ชั้นดิน เพื่อให้ท่านได้รับรู้ ชีวิตของเราก็จะโด่งดังเหมือนเสียงระฆัง
10.วัดวิเศษการ (หลังโรงพยาบาลศิริราช)
ไหว้พระประธานในโสถ์ หลวงปู่ทวด หวงพ่อท่านคล้าย เพื่อให้มีความพิเศษที่ดีต่างให้เข้ามาแก่ตัวเรา
11.วัดธรรมมงคล (สุขุมวิท 101)
ไหว้พระบรมสารีริกธาตุ พระพุทธรูปหยก เจ้าแม่กวนอิม เพื่อความเป็นมงคล มีธรรมเป็นเบื้องต้น
12.วัดอินทรวิหารบางขุนพรหม
ไหว้หลวงพ่อโต หรือสมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี (องค์ประทับที่บ่อน้ำมนต์)
เพื่อให้ชีวิตเจริญรุ่งเรื่อง ใหญ่โต

ทั้งหมดนี้นำเสนอแนะแก่ท่านทั้งหลายที่มีโอกาสน่าจะไปสักครั้งหรือหลายๆครั้งในชีวิต แต่ทั้งหมดนั้นจะให้เกิดผลก็ต้องทำดี คิดดี พูดดี ที่มาจากแก่นแท้ของหัวใจ ไม่เจ้าเล่ห์กับคนดี แต่จงช่วยเขาแล้วจะดี ถ้าเจ้าเล่ย์กับคนชั่วก็ไม่เป็นไรเพราะเป็นการป้องกันภัยให้ตัวเรา หรือท่านจะเอาตามความเชื่อในเลข 9 คือไปเพียงแค่เก้าแห่งก็เพียงพอ ก็ไม่เป็นไร ธรรมะจะเกิดขึ้นได้เมื่อท่านได้พบกับคนดี และทำดี เท่านั้น ขอให้ธรรมะคุ้มครองท่านทั้งหลายที่ทำดีแล้ว




04 ธันวาคม 2552

Here are some memories from my past few years. Enjoy! วันสบายๆกับความทรงจำดีๆที่สุโขทัย ก่อนกลับมาขอนแก่น

เดือนธันวาคมนี้เป็นวันมหามงคลของ คนไทยเราทั้งชาิติ คือวันที่ 5 ธันวามหาราช เป็นวันที่คนไทยเรามีความสุข และอยากให้คนไทยมีความสุขแบบนี้ไปตลอด และจะเข้าวันปีใหม่อีกไม่กี่วันข้างหน้า ไม่อยาก เห็นบรรยากาศแย่ๆ กลับมาอีก เมืองไทยเราควรไปด้วยดี ควรมีน้ำใจแก่ชาติบ้านเมืองบ้าง ไม่รักแต่ปาก แต่ทำลายบ้านเมืองตนเอง แบบนี้ไม่เรียกว่ารักนะ และในช่วงนี้อากาศเย็น หลายๆจังหวัดมีอากาศที่หนาว-เย็น ขอให้ทุกท่านรักษาสุขภาพด้วย และที่สุโขทัยที่หลวงพี่กลับไปเยี่ยม 26 พ.ย.-3 ธ.ค. 2552 อากาศที่สุโขทัยหนาวเย็น บรรยากาศดี และมีงานตลอดไม่ได้ว่าง ทั้งงานในวัดเองและกิจนิมนต์ หลวงพี่เก็บภาพจากวัดคูหาสุวรรณ จังหวัดสุโขทัย มาให้ดูและเห็นบรรยากาศที่สุโขทัย และเดินทางกลับขอนแก่นวันที่ 4 ธ.ค. 52


พระพุทธรูปที่ทางวัดจัดสร้างขึ้นเพื่อประดิษฐ์รอบพระอุโบสถ หลวงพี่เททองหล่อเองด้วยมือเลยนะ เพราะได้จองร่วมทำบุญ 1 องค์ 7,000 บาท มีผู้ร่วมบุญกับหลวงพี่คือ คุณบุญลือ นิลชาติ ผศ. ดุษณี ศุภวรรธนะกุลและครอบครัว ร่วมทำบุญสร้างพระกับหลวงพี่ด้วย หลวงพี่ออกทั้งกำลังกายและกำลังเงินบุญใหญ่นะ และร่วมกับชาวสุโขทัยใจบุญท่านอื่นที่ได้ร่วมสร้างพระพุทธรูป ครอบครัวละหนึ่งองค์...สาธุ คิดสิ่งใดขอให้ได้สมความปรารถนา...หลวงพี่คิดว่าขอให้เป็นคนมีปัญญาดี และได้เป็นศาสตรจารย์ ในอนาคตเลยนะ ล้อเล่น (I'm just kidding) เป็นอาจารย์ที่ดีนั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับหลวงพี่ ที่นี้มารู้จักอนิสงค์ในการพระพุทธรูปและสิ่งพิมพ์เกี่ยวกับ ธรรมคำสอน ท่านผู้รู้บอกว่ามีอนิสงค์ ดังนี้

อนิสงค์ในการสร้างพระพุทธรูป

1. อกุศลกรรม ในชาติแต่ปางก่อน จะเปลี่ยนจากหนักเป็นเบา
2. สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง สรรพยันตรายปวงภัยสลาย ไม่มีคนคิดร้ายไม่สำเร็จต่อการคิดร้ายนั้น
3. เจ้ากรรมนายเวร ในอดีตชาติแต่ปางก่อน เมือได้รับส่วนบุญ จะเลิกจองเวรจองกรรม
4. คำกล่าวเป็นสัจจ์ ฟ้าดินปราณี ทวยเทพยินดี มิตรสหายปรีดา หนี้สินจะหมดไป
5. พ้นจากมวลอกุศล เกิดใหม่บุญเกื้อหนุน มีปัญญาล้ำเลิศ บุญกุศลเรืองรอง
6. จิตใจสงบ ราศรีผ่องใส สุขภาพแข็งแรง กิจการงานมงคล รุ่งเรือง ก้าวหน้า ผู้คนนับถือ
7. ได้เกิดมาอยู่ในร่มโพธิ์ ของพระพุทธศาสนา





อนิสงค์การจัดทำสิ่งพิมพ์หรือสื่อต่างๆ เกี่ยวกับธรรม

1. เพราะธรรมทาน ชนะการให้ทั้งปวง ผู้ให้ธรรมะจึงสว่างไปด้วยปัญญา สุข สรรเสริญ ลาภยศ และบุญบารมี
2. เจ้ากรรมนายเวร อโหสิกรรม ให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง อย่างไม่คาดฝัน
3. ทำให้คนอื่นได้ปัญญา มีแสงสว่างในปัญญา เหมือนกับได้ช่วยคนให้พ้นจากอธรรม เทวดาจะสรรเสริญ ปกป้องกันภัยให้



พระ ดร รังสรรค์ กับ ท่านพระครูโสภิตกิจจานุกูล ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดคูหาสุวรรณ (น้าคิน)

I'm very proud to say that I'm a Sukhothai.

ประวัติหลวงปู่ห้อม (พระราชพฤฒาจารย์) อดีตเจ้าคณะจังหวัดสุโขทัยและอดีตเจ้าอาวาสวัดคูหาสุวรรณ

ศูนย์เรียนธรรมศึกษา วัดคูหาสุวรรณ


อุโบสถวัดคูหาสุวรรณหลังใหม่ที่สร้างแทนหลังเก่า
(หลวงพี่อยากเห็นโบสถสร้างเสร็จเร็วๆ จึงขอเชิญชวนคุณโยมผู้ใจบุญมีอันจะกินร่วมด้วยช่วยสร้าง ร่วมบริจาคได้ที่ พระครูวิบูลศุภกิจ เจ้าอาวาส เบอร์โทร 055-611775)

และจะสิ้นปีเก่านี้ก็ขอให้ท่านได้คิดในว่าวันนี้หรือวันที่ผ่านมา เราคิดอะไรบ้างที่เป็นกุศลและเป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนร่วม มากน้อยเพียงไรหรือไม่มีเลย ถ้าไม่มีก็ขอให้ท่านได้คิดสร้าง ถ้ามีแล้วก็ขอให้ท่านได้ทำต่อไปเชื่อแน่ว่าสังคมไทยจะสงบสุขและดีกว่าเดิมแน่.

24 พฤศจิกายน 2552

มองอินเดียเพื่อนบ้านเรือนเคียง ค้นหาให้ดีมีดีให้เราแน่ ตอนกังหันลมผลิตไฟฟ้า

คนอินเดียในรัฐ TAMIL NADU มีความภูมิใจในกังหันลมผลิตไฟฟ้่าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

รูปภาพกังหันผลิตไฟฟ้าจากลม ในรัฐ TAMIL NADU

รูปภาพกังหันลมผลิตไฟฟ้าในรัฐ TAMIL NADU


ขณะนี้บ้านเรากำลังถกเถียงกันเรื่องการสร้างโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ ( Nuclear power generation) จะสร้างหรือไม่สร้าง เพราะชาวบ้านประท้วง เพราะผลที่ตามมาคือมลพิษและสารพิษ ที่อาจรั่วไหล เหมือนอเมริกาที่รั่วไหล จนเป็นอันตราย แต่ขณะเดียวกันที่ประเทศอินเดียหันมาใช้พลังงานชีวมวล เพื่อรักษาโลกร้อนและลดการปล่อยมลพิษทางอากาศเพิ่มมากขึ้น โดยหันมาใช้พลังลม โดยใช้กังหันพลังงานลมเพื่อผลิตไฟฟ้า ในรัฐ TAMIL NADU เมือง Nagercoil มีการใช้กังหันพลังงานลมเพื่อผลิตใช้ไฟฟ้า และในรัฐอื่นอีก อินเดียยังมีแผนการต้องการใช้พลังงานที่บริสุทธิ์ให้ได้ 100 % เพื่อลดโลกร้อนและลดก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse gas (GHG) และอินเดียยังเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมที่ใหญ่ที่สุดของเอเชียอีกด้วย (India now boasts of Asia's biggest wind farm (298 MW) at Satara in Maharashtra.) (อ้างอิง Praful Bidwai,Frontline India's National Magazine,Volume 21- Issue 22,Oct.23-Nov.05,2004) ซึ่งการผลิตไฟฟ้าจากกังหันลมสามารถผลิตไฟฟ้าได้พอๆกับพลังงานไฟฟ้านิวเคลียร์ ( Nuclear power generation) และสะอาดกว่า และ การใช้พลังงานจากดวงอาทิตย์ และจากน้ำ มาผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้ทั่วไปแม้แต่ในอุตสาหกรรมหรือเชิงพาณิชย์ และครัวเรือน ในชนบท หรือในเมือง ซึ่งการใช้กังหันลมเพื่อผลิตไฟฟ้า เพื่อเป็นเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมีความสำคัญอย่างมากในปัจจุบัน คนอินเดียได้เห็นกังหันลมผลิตไฟฟ้าแล้วและได้ใช้พลังงานไฟฟ้าจากกังหันลมซึ่งเป็นแบบเดียวกับ แคลิฟอร์เนีย (Californi) เดนมาร์ก (Denmark) และ เยอรมนี (Germany) แต่บ้านเรายังคุยกันเรื่องผลิตไฟฟ้าจากโรงงานนิวเคลียร์ (Nuclear power generation) ที่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม บ้านเราช้าไปหน่อยไหม คนไทยเราไม่ได้เห็นพลังงานไฟฟ้าจากกังหันลมในประเทศไทยเลย แต่ถ้าอยากเห็นต้องไปเมืองนอกดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ที่จะรักษ์โลกและรักษาสิ่งแวดล้อม ในขณะที่คนทั้งโลก (Around the world) ขณะนี้ตระหนักถึงการลดปัญหาโลกร้อน (Greenhouse gas (GHG) หรือแค่เพียงเพื่อจะมุ่งสนองอุตสหกรรมและพาณิชย์ทั้งหลายเพียงอย่างเดียวหรือสนองกิเลสที่ผิดๆ สังคมและชาวบ้านเป็นเพียงแค่ข้ออ้างในการสร้างโรงงานไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์เท่านั้นหรือ ทางเลือกในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานจากธรรมชาติหรือพลังงานชีวมวลจึงน่าจะเป็นตัวเลือกที่สำคัญที่สุดในปัจจุบันในเวลานี้ ซึ่งเป็นความจำเป็นในการใช้พลังงานหมุนเวียนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ( The renawable imperative)

พระพุทธเจ้ากับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

พระพุทธเจ้าทรงถือเป็นแบบอย่างในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเลยทีเดียว เหตุผลคนต้องอาศัยธรรมชาติ ธรรมชาติเป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่งในโลก ศีล 5 คือหลักในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่พระพุทธเจ้าได้ให้เราไว้ปฏิบัติ ศีล 5 มีความหมายคือ
1. เว้นจากทำลายชีวิต
2. เว้นจากถือเอาของที่เขามิได้ให้
3. เว้นจากประพฤติผิดในกาม
4. เว้นจากพูดเท็จ
5. เว้นจากของเมา คือ สุราเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท

วิเคราะห์ได้ดังนี้

ข้อที่ 1 เว้นจากการทำลายชีวิต นั้นคือการไม่ทำลายชีวิตทั้งปวง นที่ไม่ให้ทำลาย มี คน สัตว์และธรรมชาติ รวมแล้วคือสิ่งแวดล้อมนั้นเอง

ข้อที่ 2 เว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เขาไม่ได้ให้ ต้นไม้ในป่าเป็นสิ่งที่โดนคุ้มครองจากกฏหมายของรัฐ ซึ่งบางพวกลักโขมยตัดต้นไม้เอาเลย ไม่ได้ขอ ข้อนี้ก็เป็นการอนุรักษสิ่งแวดล้อมเช่นเดียวกัน

ข้อที่ 3 เว้นจากประพฤติธรรมในกาม ข้อนี้ก็น่าจะเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมเช่นเดียวกัน เพราะคนก็คือส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อม การที่ฝ่ายหญิงไม่ยินยอมก็จะโดนทำลายถึงชีวิต การทำลายชีวิตหนึ่งลงไปก็คือทำลายสิ่งแวดล้อม

ข้อที่ 4 เว้นจาการพูดเท็จ การพูดเท็จก็เป็นการทำลายสิ่งแวดล้อมเหมือนกันได้ คือ เมื่อรู้เห็นว่ามีคนตัดป่าอยู่เรากับนิ่งเฉย หรือเรามีส่วนร่วม และไม่พูดความจริงแก่เจ้าหน้าที่รัฐเป็นต้น การไม่พูดเท็จเป็นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้เหมือนกัน

ข้อที่ 5 เว้นจากของเมา คือ สุราเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท เมื่อมาวิเคราะห์ดูแล้วก็คือเหล้านั้นเอง โรงงานเหล้ามีการผลิตในโรงงาน และมีการปล่อยน้ำเสียลงสู่แม่น้ำสาธารณะ ดังนั้นเหล้าจึงเป็นสาเหตุในการทำลายสิ่งแวดล้อมได้ ดังนั้นของเหล้าหรือสุรา จึงเป็นปัญหาอีกมิติหนึ่งเพราะคนเมาเหล้านั้นสามารถทำลายชีวิตคนและทำลายสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้ เพราะขาดสติ

ดังนั้นจะเห็นได้ว่ามีบทหนึ่งในพระไตรปิฏกที่พระพุทธเจ้าได้กล่าวเกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมใน เมืองมคธ ไว้ดังนี้

ราชกุมาร! เรานั้นเมื่อหลีกไปจากสำนักอุทกผู้รามบุตรแล้ว แสวงหาอยู่ว่าอะไรเป็นกุศล ค้นหาแต่สิ่งที่ประเสริฐฝ่ายสันติอันไม่มีอื่นยิ่งกว่า, เที่ยวจาริกไปตามลำดับหลายตำบลในมคธรัฐ จนบรรลุถึงตำบล อุรุเวลาเสนานิคม พักแรมอยู่ ณ ตำบลนั้น. ณ ที่นั้น เราได้พบภาคพื้นรมณียสถาน มีชัฏป่าเยือกเย็น แม่น้ำใสเย็นจืดสนิท มีท่าน้ำราบเรียบเป็นอันดีน่าเพลินใจ มีบ้านสำหรับโคจรตั้งอยู่โดยรอบ. ราชกุมาร! เราได้เห็นแล้ว เกิดความรู้สึกว่า "ภูมิภาคนี้น่ารื่นรมย์จริง ชัฏป่าเย็นเยือก แม่น้ำไหลใสเย็นจืดสนิท มีท่าน้ำราบเรียบเป็นอันดีน่าเพลินใจ ทั้งที่โคจรก็ตั้งอยู่โดยรอบ, ที่นี้สมควรเพื่อจะตั้งความเพียรของกุลบุตรผู้ต้องการด้วยความเพียร" ดังนี้. ราชกุมาร! เรานั่งพักอยู่ ณ ตำบลนั้นเอง ด้วยคิดว่าที่นี้สมควรแล้วเพื่อการตั้งความเพียร ดังนี้.

(อ้างอิงจากโพธิราชกุมารสูตร ราชวรรค มัชฌิมนิกาย ม. ม. 13/448/491)



19 พฤศจิกายน 2552

คำฮิตติดปากของเด็กๆ



ก่อนที่ครั้งหลวงพี่อยู่ที่วัดคูหาสุวรรณ จ.สุโขทัย กำลังศึกษาปริญญาโท หลวงพี่มีลูกศิษย์เป็นเด็กผู้ชายจะมาเดินตามคอยถือของให้หลวงพี่ทุกเช้า เป็นเด็กดีและน่ารักมากเลย หลวงพี่รักเป็นหลานๆ (แต่ปัจจุบันอยู่วัดอดุลแก้วมอดี ทุกเช้าหลวงพี่จะเดินบิณฑบาตรเข้าไปในมหาวิทยาลัยขอนแก่น ไป-กลับ 4 กิโลเมตร เหนื่อยมาก ไม่มีลูกศิษย์มาคอยช่วยบ้างเลย เดินอยู่รูปเดียวนี้แหละหลวงพี่หัวเดียวกระเทียมลีบจริงๆที่นี้ กิจนิมนต์ก็โดนพระ พรรษา 1-3 กัน เคยบอกเจ้าอาวาสแต่ไม่ได้รับการแก้ไข ) ความรู้มีอยู่แล้วจะอยู่เป็นพระเพื่อสืบทอดและช่วยพระศาสนาก็สบาย จะสึกไปก็มีความรู้เป็นปัญญาชนของสังคมและเผยแพร่พระศาสนาได้ ชีวิตนี้พลีให้พระพุทธศาสนาแล้วไม่ว่าจะสึกหรือจะอยู่ ขอขอบพระคุณพระพุทธศาสนาที่ทำให้หลวงพี่มีวันนี้ จะรักและกตัญญูต่อประเทศไทยและพระพุทธศาสนาตราบชั่วกาลนาน เอากลับมาดีกว่า พอเด็กเลิกเรียน จะมาเล่นกันอยู่แถววัดตอนเย็นๆกับเพื่อนของเขา มีอยู่วันหนึ่ง หลวงพี่เดินไปหาเพื่อจะใช้ไปซื้อน้ำอัดลมมาหนึ่งถุงแก้ร้อนกระหาย เด็กพูดกันระหว่างเพื่อนของเขาประโยคหนึ่งว่า "ตลาดโน้น..."พูดลากคำว่า โน้น ยาวๆหน่อย ฟังตอนแรกก็งงมันหมายถึงอะไร พอได้ฟังซ้ำๆที่เขาสื่อความหมายกัน ก็ถึงบางอ้อ เป็นคำที่ใช้แทนความหมายว่าไม่ได้ ทำนองนี้ ยกตัวอย่างเช่น เด็กพูดกับเพื่อนของเขาว่า มึ_ขี่จักรยานเอาลูกฟุตบอลไปเก็บไว้ที่บ้านตูหน่อยซิ เด็กคนที่โดนใช้จะพูดขึ้นมาว่า "ตลาดโน้น...." เป็นอันว่าเมื่อเด็กที่พูดขึ้นประโยคแรกที่วานเพื่อนให้ไปเก็บฟุตบอล ก็จะปั่นจักรยานไปเก็บเองเลย ถึงหรือยังเอ่ย ถึงบางอ้อหรือยัง ไหนให้คุณลองพูดซิ ตลาดโน้น....... พูดลากคำว่าโน้นให้ยาวๆ ฟังดูแล้วเป็นคำที่แสดงถึง พูดเล่นๆจริงๆนะ คุณสามารถเอาไปใช้กับเพื่อนๆได้เลยไม่มีลิขสิทธิ์ ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่เพื่อนคุณมาขอยืมเงินของคุณ คุณก็พูดกลับไปว่า ตลาดโน้น....... ซึ่งหมายถึงไม่มีไม่ได้นั้นเอง !!!!! และอันนี้เล่าสู่กันฟังเฉยๆนะ สมัยตอนเด็กๆหลวงพี่เรียนประถม 5-6 นี้แหละตอนนั้น เพลงจิ๊บ ร.ด. กำลังดัง ตอนครั้งเดินไปโรงเรียนกับรุ่นพี่ตอนเช้า รุ่นพี่พูด ประโยคหนึ่งแซวเพื่อนคนหนึ่งที่นั่งรถไปเรียนว่า นางเอก ร.ด. เพื่อนก็ยิ้มนิดๆไม่ว่าอะไรนะ เราก็งงนะ ถามว่าพี่ๆ หมายถึงอะไรหรือ พี่ๆคนนั้นก็ตอบว่า นางเอก ร.ด. หมายถึง นางเอกเรียนดี แต่พี่เขาก็อมยิ้มแต่หลวงพี่ก็นึกในใจว่ามันไม่ใช้ ใช่หรือไม่น่า จนป่านนี้ยังไม่รู้เลยว่าแปลว่าอะไรฮิฮิ เอาเป็นว่าแปลว่า นางเอกเรียนดีก็แล้วกัน เป็นอันว่าในกลุ่มของเด็กรุ่นหนึ่งจะมีการพัฒนาทางสติปัญญาเพื่อการเรียนรู้และจดจำในระดับการคิด ( Thinking) และจินตนาการ ( Imagining) ตามแบบเด็กๆและจนถึงวัยผู้ใหญ่ ที่เป็นพัฒนาการทางสติปัญญานั้นเอง .

01 พฤศจิกายน 2552

โครงงานพัฒนาบุคลิกภาพ วิชา สปช. 2 สาขาสหวิทยาการเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร



จากการเข้าศึกษาสาขาสหวิทยาเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร สิ่งที่ได้คือการเรียนรู้ท้องถิ่น การพัฒนาท้องถิ่น ด้านการพัฒนาชุมชนด้วยเศรษฐกิจพอเพียง ด้านธรรมะ ด้านสุขภาพชุมชน เป็นต้น มีรายวิชาหนึ่งที่สอนการพัฒนาบุคลิกภาพตนเอง การเข้าใจตนเอง เพื่อปรับเปลี่ยนจุดดำของตนเองให้มีจุดเปลี่ยนที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านอารมณ์ ด้านการไม่ขยัน ด้านการฟุ่งเฟ้อ หรือด้านไม่ดีต่างให้มีการพัฒนาให้อ่อนโยนมากขึ้น นั้นคือวิชา สปช. 1-2 -3 ในการเรียนวิชา สปช. 1 ที่ผ่านมาเทอมที่แล้ว เนื้อหามุ่งเน้นการพัฒนาบุคลิกภาพภายนอก ทั้งด้านกายภาพ เศรษฐกิจ สังคม ในการทำโครงงานเพื่อพัฒนาตนเอง และเทอมปัจจุบัน คือ 1/2552 ได้ศึกษา สปช.2 เป็นการศึกษาพัฒนาตนเองจากภายในของตนเอง เช่นด้านอารมณ์ ด้านตระหนี่ ด้านการไม่ขยันคือความเกียจคล้านต่างๆ ด้านการไม่รับฟังเหตุผลคนอื่นเอาความคิดตนเองเป็นใหญ่เป็นต้น แล้วนำเสนอโครงงานตามแบบฟอร์มของรายวิชาที่จัดทำขึ้น เป็นรายวิชาที่ชอบเพราะกระบวนการสอนและการทำโครงงานมุ่งรังสรรค์ตนเองให้มีจิตสำนึก หรือเรียกว่า การละลายพฤติกรรม หลวงพี่ได้จัดทำ

โครงงานเรื่องปรับอารมณ์ร้อนและโกรธของข้าพเจ้า

หลักสูตรศิลปศาสตรบันฑิต สาขาสหวิทยาการเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น

วิชา การสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตและงาน 2

แบบเสนอหัวข้อโครงงานพัฒนาบุคลิกภาพ

ศูนย์เรียนรู้ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ศูนย์หนองเรือ จังหวัด ขอนแก่น

1. ชื่อโครงงาน ปรับอารมณ์ร้อนและโกรธของข้าพเจ้า


2. ชื่อผู้เสนอโครงงาน พระรังสรรค์ พิมพ์ช่างทอง รหัสประจำตัว 5030123101760


3. ชื่อที่ปรึกษาโครงงาน/ผู้ทรงคุณวุฒิที่ให้คำแนะนำปรึกษา(ต้องเป็นผู้ที่นักศึกษาขอให้ช่วยจริง และมีบทบาทจริงในการช่วยประเมินความก้าวหน้าในการพัฒนาตนของนักศึกษา)

1. อาจารย์ราชิต วงษ์ชมพู


4. ความเป็นมาของโครงการ

ปัจจุบันการทำงานหรือการพบปะผู้คนทำให้มีการกระทบกระทั้งกันเกิดขึ้นเนื่องด้วยสามารถความเอารัดเอาเปรียบความไม่ลงรอยกันในเรื่องงานหรืออะไรก็ตามย่อมเป็นผลให้เกิดความโกรธ กันขึ้นมาได้แน่นอนถ้าไม่ระงับความโกรธกันได้ผลเสียของความโกรธย่อมส่งผลรุนแรงทั้งด้านร่างกายและจิตใจอย่างแน่นอนและจะทำให้เกิดโรคภัยต่างๆตามมาอย่างไม่หยุดหยั่งถึงขั้นเป็นโรคจิตเลยก็ว่าได้ ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมากต่อตนเองและบุคคลรอบข้าง ดังนั้นจึงอยากทำเรื่องการปรับอารมณ์ตนเอง ให้เกิดความสมดุลทางด้านจิตใจ และร่างกายและจะทำตนเองมีเมตตาต่อตนเองและกับคนอื่นมากขึ้นอีกด้วย

4.1 ข้าพเจ้าพบว่าตนเองมีบุคลิกภาพประเภท (ระบุสัตว์ที่เป็นสัญลักษณ์) หมี

ซึ่งจัดอยู่ธาตุ ดิน ข้าพเจ้ามีจุดแข็ง คือ ชอบธรรมชาติ และคิดดีต่อบุคลอื่น แต่มีจุดอ่อน คือ ทนต่อสิ่งยั่วยุไม่ได้

4.2 สิ่งหรือเหตุการณ์ที่บ่งชี้ว่าข้าพเจ้าเป็นอย่างในข้อ 4.2 คือ จิตใจที่อ่อนโยนของตนเอง.ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงทำโครงงานนี้ เพื่อให้จุดอ่อนในข้อ 4.2 ของข้าพเจ้าลดลง โดยได้คิดคำขวัญหรือปณิธานสำหรับตนเองเพื่อการนี้ว่า โกรธคือโง่โมโหคือบ้า ไม่โกรธดีกว่าไม่บ้าไม่โง่


5. จุดประสงค์เฉพาะของโครงงานของข้าพเจ้า คือ (เขียนให้สัมพันธ์กับข้อ 4.3 โดยเขียนสิ่งหรือเหตุการณ์ที่เฉพาะเจาะจงที่จะบ่งชี้สภาพที่ตรงกันข้ามหรือเปลี่ยนแปลงไปจากข้อ 4.3 เพื่อใช้ในการประเมินโครงงาน)

สร้างกรอบความรู้เพื่อศึกษาผลหรือลดอารมณ์โกรธ โดยศึกษาหลักธรรมะ

แล้วนำผลของความรู้ มาปฏิบัติ เพื่อปรับเปลี่ยนตนเอง


6. เริ่มดำเนินการวันที่ 6 เดือน กันยายน พ.ศ.2552 ถึงวันที่.30 เดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2552


7. หลักวิชาหรือแนวคิดที่นำมาใช้การทำโครงงาน หลักธรรมะของพระพุทธศาสนา


8. วิธีการและขั้นตอนการดำเนินการ

1. สร้างกรอบความรู้ ตามหลักวิชาการ และทางพุทธศาสนา

2. ตารางการปฏิบัติ

3. การประเมินผล

4. แบบสอบถาม

5. สรุปผลการปฏิบัติ

9.ประโยชน์ที่ข้าพเจ้าคาดว่าจะได้จากโครงการนี้คือ


1. ข้าพเจ้ามีบุคลิกภาพดีขึ้น

2. ข้าพเจ้ามีหลักธรรมะในใจ

3. ข้าพเจ้ามีเมตตาต่อสัตว์มากขึ้น

4. คลายอารมณ์ร้อนและโกรธได้

5. ลดกรรมได้


10.งบประมาณที่ใช้ (หากมี)......................บาท

แหล่งที่มาของงบประมาณ...............................................................................


ลงชื่อ...............................................ผู้เสนอโครงงาน

( พระรังสรรค์ พิมพ์ช่างทอง )

วัน/เดือน/ปี ที่เสนอ ………………………… 2552


ลงชื่อ.................................................ผู้อนุมัติ ลงชื่อ.................................................ผู้อนุมัติ


( ) ( )

อาจารย์นิเทศก์ประจำวิชา อาจารย์นิเทศก์ประจำวิชา


วัน/เดือน/ปี ที่อนุมัติ................................. วัน/เดือน/ปี ที่อนุมัติ.................................

บทคัดย่อ

โครงงานที่ข้าพเจ้า ทำคือ ปรับอารมณ์ร้อนและโกรธ จุดประสงค์คือปรับลดอารมณ์ร้อนและโกรธ เพื่อสร้างอารมณ์ให้เกิดความเย็นใจและไม่สร้างกรรม แต่กลับกันกับสร้างความเมตตาต่อสัตว์มากขึ้น และยังทำให้อารมณ์มีสุนทรีย์ศาสตร์อีกด้วย พร้อมใช้หลักธรรมะ เป็นตัวขยายความหมายของการปฏิบัติ ทำให้การปฏิบัติเกิดแนวทางที่ถูกต้อง ข้าพเจ้าเริ่มทำโครงการเมื่อ 6 กันยายน พ.. 2552 ถึง 30 พฤศจิกายน พ.. 2552 โดยเริ่มปฏิบัติตามกรอบของตารางการปฏิบัติครบทั้ง 7 วัน ในหนึ่งสัปดาห์ จนถึงสัปดาห์สุดท้ายที่ปฏิบัติ ผลคือการปฏิบัติของข้าพเจ้าเป็นที่พอใจเป็นอย่างมาก โดยสร้างแบบสอบถามเพื่อประเมินโครงงานของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามีอารมณ์ที่ปรับตัวได้มากขึ้นและให้อภัยต่อสัตว์และมีเมตตามากยิ่งขึ้น ข้าพเจ้ารู้สึกว่าอารมณ์เย็นและโรแมนติกและมีอารมณ์สุนทรีย์ภาพมากกว่าเดิม

โครงงานนี้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้คือ สามารถปรับอารมณ์จากร้อนและโกรธได้ดีตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ

.................................................................................................

จากการศึกษารายวิชาต่างๆและวิชา สปช. 2 นี้มุ่งศึกษาตนเองและพัฒนาตนเองด้วยวิธีการต่างๆเช่นการนำหลักธรรมะมาใช้ ฉะนั้นวิชานี้จึงสบายมากเพราะอยู่กับธรรมะอยู่แล้ว และการพัฒนาตนเองไม่มีที่สิ้นสุด ได้วิชาการและทักษะต่างเพิ่มขึ้น ได้รู้จักตนเอง ได้รู้จักคน และได้รู้จักสังคม ชุมชนและท้องถิ่นมากยิ่งขึ้น และคิดว่าสามารถนำความรู้ไปใช้ได้ในอาชีพการงานตนเองได้ดีด้วยทั้งปัจจุบันและอนาคต ที่นำมาเสนอเป็นแบบย่อเท่านั้น .








15 ตุลาคม 2552

คนเก่งและดีต้องมีความสุข ตอนที่ ๑


ผู้เขียน พระราชวรมุนี ปัจจุบัน พระธรรมโกศาจารย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต)

มีธรรมะของพระพุทธเจ้าอีกหมวดหนึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเป็นนักบริหาร ที่เก่ง ดีและมีสุข ธรรมะที่ว่านั้นได้แก่ พละหรือกำลังภายใน ๔ ประการ คือ
๑. ปัญญาคือความฉลาดรอบรู้
๒. วิริยะคือความขยันขันแข็ง
๓. อนวัชชะคือการทำงานดีด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
๔. สังคหะคือการผูกใจคนด้วยมนุษยสัมพันธ์
ธรรมะ ๒ ข้อแรกทำให้เป็นคนเก่ง ความเก่งเกิดจากความฉลาดบวกกับความขยัน นักบริหารแบ่งคนออกเป็น ๔ ประเภทตามส่วนผสมของความฉลาดและความขยัน นั่นคือ
ประเภททื่ ๑ ทั้งฉลาดและขยัน
ประเภททื่ ๒ ฉลาดแต่เกียจคร้าน
ประเภทที่ ๓ โง่และขยัน
ประเภทที่ ๔ ทั้งโง่และเกียจคร้าน
คนที่ทำงานกับท่านมี ๔ ประเภท แต่ท่านจะโชคดีหรือโชคร้ายขึ้นอยู่กับว่า ท่านมีลูกน้องหรือเพื่อนร่วมงานประเภทไหนมากกว่ากัน
พวกแรกฉลาดและขยันได้เกรด A ดีมาก ทำงานไปนานได้เลื่อนขึ้นเป็นผู้บริหาร เพราะเป็นคนฉลาด อ่านคนออก ตีแผนออกและสนองงานได้ถูกใจผู้ใหญ่ จึงเป็นลูกน้องเราไม่นานก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บริหาร ส่วนคนที่เหลือเป็นลูกน้องเรานานๆมักเป็น ๓ ประเภทที่เหลือ คือพวกฉลาดแต่เกียจคร้าน พวกโง่และขยัน และพวกที่ทั้งโง่และเกียจคร้าน
ขอถามสักนิดว่าถ้าท่านจะเลือกลูกน้องสักคน ท่านจะเลือกประเภทไหน ระหว่างคนฉลาดแต่เกียจคร้าน กับคนที่โง่และขยัน ท่านผู้ว่าเลือกคนฉลาดแต่เกียจคร้าน ท่านอื่นว่าอย่างไร? หรือ จะเลือกตามท่านผู้ว่าฯ
ที่ว่ามานี้เป็นการเลือกลูกน้อง ทีนี้ถ้าให้เลือกคนมาเป็นสามีหรือภรรยา ท่านชอบประเภทไหน ระหว่างคนฉลาดแต่เกียจคร้านกับคนโง่และขยัน ส่วนใหญ่ในที่นี้ยกมือเลือกคนโง่และขยัน เพราะคนประเภทนี้ไม่เรื่องมากดีใช่ไหม? ทำไมเวลาท่านเลือกลูกน้องจึงชอบพวกฉลาดแต่เกียจคร้าน?
ถ้าท่านมีลูกน้องครบทั้งสี่ประเภทคือฉลาดและขยัน ฉลาดแต่เกียจคร้าน โง่และขยัน โง่และเกียจคร้าน ท่านจะใชัคนแต่ละประเภททำงานอะไร
สำหรับแต่ละคนมีวิธีใช้งานต่างกัน กองทัพสมัยก่อนมีวิธีใช้ทหารทำงานคนละแบบ ทหารมีครบทั้ง ๔ ประเภท ทหารคนไหนฉลาดและขยัน กองทัพจะตั้งให้เป็นหัวหน้าหรือเป็นผู้บัญชาการคุมกำลัง เพราะวางแผนเก่งและปลุกระดมเก่ง ทหารคนไหนฉลาดแต่เกียจคร้าน กองทัพจะตั้งให้ทำงานด้านวางแผนเป็นเสนาธิการ ถ้าเป็นคนทั่วไปก็ให้เป็นที่ปรึกษา ทหารคนไหนโง่แต่ขยันเป็นหัวหน้าใหญ่ไม่ได้ ประเดี้ยววางแผนพลาดยิงพวกเดียวกันเพราะคำนวณพลาด กองทัพจะตั้งพวกนี้เป็นพวกคุมกำลังระดับล่าง เป็นหน่วยจรยุทธ์ หรือหน่วยทะลวงฟันเป็นพวกแรมโบ้ ทหารที่โง่และเกียจคร้าน กองทัพก็มีวิธีใช้ คือให้เป็นหน่วยลาดตระเวน มีกับระเบิดตรงไหน ส่งคนพวกนี้ล่วงหน้าไปก่อน
เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะเป็นผู้นำระดับบริหารต้องเป็นคนประเภทแรก คือฉลาดและขยัน บางคนฉลาดและขยัน เก่ง แต่ก็ไม่ได้ขึ้นสูง เป็นบอนไซอยู่แค่นั้น ไปถามผู้ใหญ่ว่าทำไมคนนี้ไม่ได้ขึ้นทั้งที่เก่งและดี ผู้ใหญ่บอกว่าอะไรๆ เขาก็ดีนะท่าน แต่เสียอย่างเดียวคือ เลว เขาฉลาดโกง ขยันโกง อยู่ใกล้เงินไม่ได้ เสกหายหมด
การเป็นผู้บริหารที่มีสมรรถภาพ นอกจากความฉลาดขยันแล้ว ต้องมีความซื่อสัตย์ด้วย ความซื่อสัตย์เรียกว่า อนวัชชะ ทำงานไม่มีที่ติ ไม่มีโทษ ประวัติดี
ธรรมะของพระพุทธเจ้าต้องไปด้วยกัน เหมือนกับยาเป็นชุดต้องทานทุกเม็ด ธรรมะ ๔ ข้อนี้จะขาดข้อใดข้อหนึ่งไม่ได้ บางคนซื่อแต่โง่ เรียกว่าเซ่อ ซื้อบื้อโดนลูกน้องหลอกอยู่เรื่อย หัวหน้าจึงต้องซื่อและฉลาดด้วย บางคนฉลาดแต่เกียจคร้าน เรียกว่าขลาด ไม่ทำงานเพราะกลัวมีปัญหา บางคนขยัน แต่โง่เรียกว่าบ้าบิ่น คนที่เป็นวีรบุรษจะฉลาด รู้ว่ามีปัญหา แต่ฉันก็จะขยันและก็ตั้งใจจริงด้วย วีรบุรุษมีน้ำใจต่อคนอื่นและวีรบุรุษจะมีธรรมครบ ๔ ข้อเลย
บางคนฉลาด ขยัน ซื่อสัตย์ แต่ไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง คนก็ไม่ยกย่อง เป็นฮีโร่กับเขาไม่ได้ ทั้งที่เป็นคนตรง เป็นคนซื่อ แต่คนไม่ชอบไม่ยกย่อง เขาเป็นวีรบุรุษ ผู้ใหญ่ก็ไม่ยกย่อง ไปถามผู้ใหญ่ว่า คนนี้เขาก็ดีนี่ ทำไมไม่ยกย่อง หัวหน้าหรือผู้ใหญ่ก็บอกว่าเขาดี แต่สงสัยจะเป็นคนดีที่โลกไม่ด้องการ ไปอยู่ที่ไหนก็เป็นคนตรง ทะเลาะกับเขาไปทั่วหมด ผู้ทะเลาะสิบทิศ โหงวเฮ้งไม่ดี ดูหมอนี่ซิ คิ้วอย่างกับคิ้วราชสีห์ จมูกสิงโต นัยน์ตาเหยี่ยว เสียอย่างเดียวที่ปากสุนัข เพราะไม่มีสังคหวัตถุข้อ ๒ คือ ปิยวาจา
ทาน ปิยวาจา อัตถจริยา สมานัตตา หมายถึง โอบอ้อมอารี วาจาไพเราะ สงเคราะห์ประชาชน วางตนพอดี คือ สังคหวัตถุ หรือมนุษยสัมพันธ์นั้นเอง
คนเก่งและดีเข้ากับใครๆได้ มีมนุษยสัมพันธ์ทำงานดี นับว่าลดปัญหาไปครึ่งหนึ่งถือว่าประสบความสำเร็จในชีวิต แต่คนที่เก่งและมีคนรักบางคนอาจจะเป็นคนที่มีปัญูหา อาจเป็นคนที่ท้อถอยเพราะขาดธรรมไปข้อหนึ่ง คือ ขาดวิริยะ วิริยะมาจาก วีระ แปลว่ากล้าเจอปัญหาฉันก็จะบุก คนขาดวิริยะก็หมดกำลังใจแล้ว คนดีๆอาจคิดฆ่าตัวตายเพราะขาดวิริยะ คนที่สุขภาพจิตดีไม่กระทบกันง่าย เหมือนคนสุขภาพกายดีจะมีความอดทน นักมวยที่แข็งแรงโดนต่อยเข้าไปจะทนได้ ดังนั้นถ้าท่านมีธรรมะทั้ง ๔ ข้อ คือ ปัญญา วิริยะ อนวัชชะ และสังคหวัตถุ ก็จะทำให้ท่านมีสุขภาพจิตที่ดีนั่นเอง .

อ้างอิง องค์กรพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลก เว็บไซต์ http://www.wfb-hq.org/Thaiindex.html

03 ตุลาคม 2552

พักยก.....กับเรื่องน่ายินดีน่าชื่นชมของไทยเรา

ในวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2552 สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ ทรงเจริญพระชนมายุ 96 พรรษา หรือครบ 8 รอบนักษัตร และการทำบุญแบบต่างๆอีกด้วย และร่วมถึงพระอาการประชวรของพระบาทสมเด็จที่ดีวันดีคืน เป็นมิ่งขวัญของชาวไทยตลอดกาลนาน มีประชาชนร่วมแสดงความภักดีและลงชื่อถวายพระพรให้พระองค์ทรงพระเจริญ มีอายุวรรณะ สุขัง พลัง ทุกส่วนของไทย ส่วนหลวงพี่เองตั้งจิตอธิษฐานมอบอายุตัวเอง 5 ปี มอบให้กับในหลวงและอายุตนเอง 5 ปีมอบให้แด่พระราชินีของเราด้วยเพื่อให้พระองค์มีอายุมั่นขวัญยืนเป็นมิ่งขวัญร่มโพธิ์ร่มไทรให้คนไทยเรา

วิธีปฏิบัติที่ทุกท่านควรร่วมตั้งจิตอธิษฐานขอพรและทำบุญกุศลเพื่อมอบให้ในหลวงของเรา มีวิธีการทำดังนี้

1.คิดดี พูดดี ทำดี เพื่อมอบเป็นกุศลจิตให้เกิดกุศลทางใจที่จะมีพลังของความดีที่ขจัดพญาธิ (โรคภัยไข้เจ็บ)
2.ปฏิบัติธรรมสมาธิและสวดมน
ต์เพื่อฝึกจิตให้เป็นบุญกุศลให้เกิดพลังทางจิตใจ แล้วอธิษฐานขอพรแด่พระองค์ท่าน
3.ใส่บาตร กวดน้ำ แล้วอธิษฐานขอพรให้พระองค์มีร่างกายแข็งแรง
4.ร่วมกันอธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของประเทศไทยเช่นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ต่างๆเช่น พระพุทธชินราช พระศิลา เป็นต้นให้ปกป้องรักษาพระองค์ท่าน.

หลวงพี่คิดว่าทั้ง 4 ข้อเป็นกุศลจิตที่ดีงามอย่างมากที่ประชาชนคนไทยสามารถทำได้และทำได้ดีด้วยเพราะเป็นนิสัยของคนไทย



เรื่องที่น่าสนใจที่น่าชื่นชมยิ่งของคนไทยเรามีดังนี้

เรื่องที่ 1 คือเรื่องที่น่ายินดีกับคนไทยคือนักวอลเลย์บอลหญิงสามารถเป็นแชมป์เอเชียได้เป็นครั้งแรก ในการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์เอเชีย ครั้งที่ 15 ที่กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม เมื่อวันที่ 13 กันยายน เป็นการเล่นรอบชิงชนะเลิศ ระหว่
างทีมสาวไทย ที่ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศได้เป็นครั้งแรก พบกับ จีน มหาอำนาจลูกยางเอเชีย เจ้าของแชมป์ 11 สมัย

เรื่องที่ 2 ต่อมาคือลูกหมีแพนด้าที่เกิดในประเทศไทยชื่อหลินปิง เป็นทูตสันติไมตรี ไทย-จีน

เรื่องที่ 3 ต่อมาคือการพบป่าต้นสักขนาดใหญ่ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน หลวงพี่เคยไปจังหวัดแม่ฮ่องสอนเข้าไปถึงเขตป่าอุทยานอำ
เภอแม่สะเรียงการเดินทางเข้าไปลำบากมากต้องผ่านเขา
มากมายและผ่านแม่น้ำไปโดยรถ
กระะ โดยพระบัญฑิต มจร.เชิญไปร่วมงานฉลองศาลาเปรียญธรรมและปฏิบัติธรรม ตลอดทางมีต้นไม้นานาชนิดและมีต้นสักด้วย

เรื่องที่ 4 ต่อมาคือ เด็กชายหม่องชาวพม่าที่มาพึ่งใบบุญแผ่นดินไทย ได้ไปแข่งขันพับเครื่องร่อนที่ญี่ปุ่นแล้วได้ที่ 3 กลับมาสามารถสร้างชื่อให้ประเทศไทย ได้รั
บรางวัลมากมายถึงขั้นได้ทุนเรียนถึงปริญญาเอก และเป็นยุวฑูตไทยอีกต่างหาก คนไทยเราจงภูมิใจเถอะที่เราได้ช่วยเหลือเด็กชาวพม่าคนนี้เพราะทุนการศึกษาถึงปริญญาเอกเป็นภาษีของคนไทยเราที่มอบให้ ถือว่าคนไทยเรามีน้ำใจช่วยเหลือคนต่างถิ่นมาอยู่ในประเทศไทยและครอบครัวและเด็กชายหม่องก็รู้บุญคุณประเทศไทย แม้แต่ประเทศเขมรเอง ประเทศไทยไปสร้างโน้นสร้างนี้ให้เขมรมากมายเหลือคณานับ แม้แต่สมเด็จพระเทพยังทรงสร้างโรงเรียนให้ชาวเขมรในประเทศเขมร และสมัยที่เขมรฆ่าเขมรกันเอง หรือสงครามภายในประเทศของตนเอง คนเขมรหลบลี้หนีภัยมาพึ่งใบบุญแผ่นดินไทยประเทศไทยช่วยเหลือให้ข้าวให้น้ำให้ที่พักพิงแก่คนเขมรที่หนีภัยสงครามมาพึ่งไทย(หนีร้อนมาพึ่งเย็น) ไม่ได้ทวงบุญคุณเขมร แต่มันเรื่องจริง

เรื่องที่ 5 ต่อมาคือ ไอ้รถถัง พูลสวัสดิ์ กระทิงแดงยิม ค่ายแชแม้ สามารถน็อคแชมป์ชาวไอริช ที่ประเทศไฮแลนด์ นับเป็นคนไทยคนแรกที่สามารถไปน็อกนักชกไอริชได้ในรอบ 10
0 ปี พูลสวัสดิ์ กระทิงแดงยิมเป็นแชมป์สถาบัน WBA 122 ปอนด์ ตัวจริงของสถาบันหลักของโลก อนาคตไกล

เรื่องที่ 6 ต่อมาคือ เด็กชายเคฮิโงะ ซาโต ได้พบกับบิดาชาวญี่ปุ่นชื่อ นายคัตซูมิ ซาโต ที่บินตรงมาจากญี่ปุ่น ในวันที่ 2 ตุลาคม 2552 (2009) น่ายินดีกับเด็กชายเคฮิโงะ เป็นอย่างมาก นี้นะ เด็กชายเคฮิโงะ ถ้าไม่เป็นข่าวในวันนั้นที่นำเสนอข่าวเคโงะจากสื่อแล้ว หลวงพี่คิดว่า เด็กชายเคฮิโงะ คงไม่มีวันนี้แน่นอน และโตขึ้นก็เป็นเหยื่อของพวกยาเสพติดไม่ค้าก็เสพย์แน่นอน แต่วันนี้เด็กชายเคฮิโงะได้พบกับชีวิตใหม่ที่ดี ดีใจด้วยนะ

สรุปเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องน่ายินดียิ่งของคนไทยเราใน ครึ่งปีที่ผ่านมาในปี 2552 (2009) นี้ที่ทำให้เราได้ชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่งของไทยเรา

21 กันยายน 2552

พ่อสอนลูก (ยังจำได้ไหม) ในตำราเรียนสมัยเก่า..ผู้ชายอ่านได้ผู้หญิงอ่านดีมากๆ


หลายๆคนอยากรู้ว่าทำไม หลวงพี่ถึงต้องไปเรียนปริญญาตรีอีกใบหนึ่ง หลวงพี่มีคำตอบ ให้ได้ว่าหลวงพี่ต้องการฝึกทักษะการสอนจาก ครูอาจารย์ คือเก็บเกี่ยวสิ่งดีๆด้านการสอน หรืออย่าไปคิดว่าหลวงพี่ไปเรียนเลย หลวงพี่พยายามคิดว่าไปอบรมทักษะด้านการสอนจากครูบาอาจารย์มากกว่า และได้ความรู้และปริญญาตรีเป็นของแถมอีกด้วยในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ หลวงพี่ได้เรียนในทางพระพุทธศาสนาได้พบกับอาจารย์ทางพระมากมายได้เก็บเกี่ยวการสอนทักษะที่ดีๆไว้มากมาย แต่เรียนทางโลกในระดับมหาวิทยาลัย เรียนน้อยมาก เลยเข้าไปเรียนเพื่อเก็บเกี่ยวทักษะดีๆด้านการสอนของแต่ละครูอาจารย์ไว้ใช้ในอนาคต ซึ้งอาจารย์มหาวิทยาลัยราชพระนคร เป็นมหาวิทยาลัยเก่า 150 ปี ครูอาจารย์มีเทคนิคและวิธีการสอนที่ดีมาก ทั้งมหาวิทยาลัยต่างประเทศคืออินเดีย เวียดนาม จีน ลาว หลวงพี่ได้มีโอกาสไปเห็นแล้วเป็นประสบการณ์ดีมากได้เห็นการสอนที่หลากหลาย คือหลวงพี่มีโอกาสอยากจะเก็บเกี่ยวความรู้ให้มากทีุ่สุดครั้งเดียวไปเลย แล้วเอาไปลุยทีเดียวในงาน เนี้ย ว่าที่ ดร. แดน จากมหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลก ชาวเวียดนาม ชวนหลวงพี่ไปมาเลเซียเพื่อสัมมนาทางวิชาการระดับนานาชาิติ อีกในเดือน พฤษจิกายน 09 นี้หลวงพี่จะต้องเตรียมบทความเรื่องดีๆสักเรื่อง น่าจะเป็นเรื่องการพัฒนาโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกสามัญในประเทศไทย ไปนำเสนอ............ ท่านทั้งหลายคงได้ยินข่าว เรื่องเยาวชนผู้หญิงตบตีกันในเรื่องแย่งผู้ชาย หรือรุมสกรรมทำร้าย ผู้หญิงด้วยกันเอง จนเป็นข่าวใหญ่ไปหลายวันและหลายเหตุการณ์ หรือเก็บแต้มหรือเรื่องอะไรก็ตามเถอะทำไมเด็กผู้หญิงเหล่านั้นจึงเป็นไปแบบนั้นได้ และกลายเป็นเหยื่อของคนจิตใจหยาบช้าวิปลาส มีอะไรพิการไปหรือในสังคม น่าคิดนะ หลวงพี่พยายามคิดตรึงตรองหลายหน แต่พยายามสรุปให้ได้ข้อเท็จจริงได้ดังนี้จะใช่หรือเปล่าทั้งผู้อ่านทั้งหลายช่วยพิจารณาด้วยนะ จากข้อสรุป คือ
1. พ่อแม่ไม่มีเวลาสั่งสอนลูกหรือไม่ดูแลลูกให้ดี
2. ครูในโรงเรียนไม่มีเวลามากพอในการอบรมเพราะครูต้องทำหน้าที่เยอะมาก เช่นต้องทำวิจัยเสนอเป็นผลงาน ประชุม ไหนจะลูกตัวเอง ดังนี้เป็นต้น
3. ตำหรับตำราในปัจจุบันระดับประถม มัญยมไม่มีเนื้อหาสอนให้ผู้หญิงเป็นกุลสตรี รักงวนสงวนตัว
4. สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยอบายมุขและสิ่งเสพติด
ท่านคิดว่าเรื่องอะไรใน 4 ข้อ บังเอิญหลวงพี่เป็นคนชอบอ่าน เลยไปสดุดหรือหนังสือสอนในสมัยเก่า สมัยก่อนหลวงพี่ไม่กี่ปี ปี-2 นีแหละ เรื่อง พ่อสอนลูกสาว ไว้ในตำราสมัยเก่าที่ใช้สอนกันในโรงเรียนประถม 5-6 หรือมัญยมต้น ไว้ดีมาก เป็นเนื้อหาพ่อสอนลูกสาวตนเอง อ่านแล้วได้ข้อคิดมาก ท่านใดเขียน ท่านใดที่บรรจุไว้ในตำราเรียนน่าสรรเสริญเยินย่อว่าดีมาก บทกวีพ่อสอนลูก เนื้อหามีดังนี้

พ่อสอนลูกสาว

ในค่ำคืนหนึ่ง...หลังจากกราบพระกับคุณพ่อคุณแม่แล้ว คุณพ่อเรียกลูกเข้าไปพบ แล้วบอกลูกว่าพ่อมีอะไนให้ดูซึ้งสำคัญมาก ว่าแล้วคุณพ่อจึงหยิบอะไรบางอย่างออกจากกระเป๋าเสื้อเอามือกำไว้ คุณพ่อถามว่าอยากรู้ไหม ว่ามือะไรในมือพ่อ ลูกพยักหน้า ถ้าอยากรู้ต้องเอามือแขกพื้น 3 ที ลูกทำตาม... คุรพ่อว่า ไม่พอต้อง 5 ที แล้วเปลี่ยนเป็น 10 ที 15 ที จนลูกอุธรณ์ ก็ูลูกอยากทราบนี่ค่ะว่าเป็นอะไร คุณพ่อแบบมือออก มันคือเหรียญ 5 บาท ธรรมดานี่เอง คุณพ่อหัวเราะ แล้วกำมือกับเหรียญ 5 บาท เดิม ถามว่่าอยากดูอีกมั้ย ถ้าอยากดูต้องแขกพื้น 10 ที ลูกบอกว่าหนูรู้แล้วไม่อยากดูค่ะ คุณพ่อว่าเอ้า...แขกพื้น 1 ที ก็ได้ ลูกก็บอก ว่าทราบแล้วไม่อยากดูอีกเบื่อ คุณพ่อว่าให้ดูฟรีๆก็ได้แล้วก็แบบมือออก ลูกก็ดูไปอย่างนั้นเอง คุณพ่อเลยสอนว่า " นี้นะลูก อะไรที่เป็นความลับ คนมักทำทุกอย่างที่จะได้สมปรารถนา อยากดู อยากรู้ อยากเห็น แต่เมื่อสมปรารถนาแล้ว ดูบ่อยๆก็มักจะเบื่อ ให้ดูฟรีๆ ยังไม่อยากดูเลย แล้วสิ่งที่พึงหวงแหนสำหรับลูกผู้หญิงเป็นสิ่งที่มีค่า ถ้าให้ใครรู้ก่อนเวลาอันควร ก็จะไม่มีค่าอะไร ไม่ต่างกับเหรียญ 5 บาท ที่พ่อให้ลูกดูฟรีหรอก"


สรุป จึงตั้งข้อสงสัยว่าในตำราสมัยใหม่ปัจจุบันนี้มีเนื้อหาสอนแบบนี้หรือไม่ในตำราเรียน ถ้าไม่มีถือว่าการศึกษาที่มอบให้เด็กนั้นพิการเลยทีเดียว เพราะเด็กก็คือเด็กความความคิดยังน้อย ไม่เจ้าเหล่ย์เหมือนผู้ใหญ่ เหมือนอย่างที่ไม่มีการสอนประวัติศาสตร์ชาติไว้ในตำราอีกด้วยที่ดังเกรียวกราวไปหลายปีก่อน ดังนั้นการศึกษาที่พิการย่อมเป็นผลเสียอย่างมาก การศึกษาต้องการปฏิรูปอีกรอบ และสิ่งเย้ายวนให้เด็กใจแตกมีมากเหลือเกินเช่นสถานบันเทิง เธค ผับ บาร์ ร้านเกมส์อินเตอร์เน็ต ห้างใหญ่ๆ เด็กหรือเยาวชนผู้หญิงจึงเป็นเหยื่อกามตัญหาของอมนุษย์ที่ซ้ำเติมและหากินบนความผิดพลาดของเด็กเยาวชนผู้หญิง.


06 กันยายน 2552

อินเดียเมืองแห่งความเร้าใจและเมืองแห่งสัจจะธรรมของชีวิต

ในการเดินทางไปประเทศอินเดียหลวงพี่ได้เดินทางสู่ประเทศอินเดียมาแล้วทั้งหมด 4 ครั้ง และในวันที่ 24 สิงหาคมได้เดินทางไปกับหมู่คณะนักศึกษาปริญญาเอก มหาวิทยาลัยมคธ ประเทศอินเดีย ได้พร้อมกันที่ สนามบินสุวรรณาภูมิ เดินทางด้วยสายการบิน jet Airway ไปลง Kolkata แล้วต่อด้วยรถที่มารับที่สนามบิน Kolkata ไปถึง Bodh-Gaya เวลา เกือบ 2 ทุ่ม รถได้พาคณะเข้าไปยังวัดไทยมคธ เพื่อพำนักที่วัด ตลอดเวลาที่อยู่เพื่อสอบกัน ได้รับการต้อนรับจากคณะพระ-แม่ชี ลูกศิษย์เป็นอย่างดี ทุกคนเดูแล้วเหนื่อยมากกับการนั่งรถ 10 ชั่วโมง ทุกคนเข้าห้องพักที่ทางวัดได้จัดไว้ ส่วนหลวงพี่ได้พักร่วมกับเจ้าอธิการปรีชา เจ้าอาวาสและเจ้าคณะตำบลแม่เมาะเขต 2 จังหวัดลำปาง ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกันที่ไปสอบด้วยกันและมีคุณหมอหรือนายแพทย์ มีปลัด มีท่านรองศาสตรจารย์มหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลกเป็นต้น หลวงพี่ไม่รอช้ารีบเข้าห้อง ทำธุระกิจส่วนตัวทันที สดชื่น ส่วนท่านเจ้าอธิการปรีชา ได้เสร็จธุระกิจส่วนตัวแล้วให้ท่านนำสวดมนต์ไหว้พระที่ห้อง พอไหว้พระเสร็จก็นั่งคุยกันสักพัก รู้สึกง่วงนอนมาก จึงได้เวลานอน นอนยาวไปเลย ก่อนอื่นขอพูดถึง Asian (เอเชียตะวันตกเฉียงใต้) ในแถบเอเชีย เมื่อคิดแล้ว ทุกชาติล้วนแต่มีภาษาและคำพูดเป็นของตนเองแทบทั้งสิ้น เริ่มต้นตั้งแต่ประเทศไทย มีภาษาไทย เลขไทย ภาษาพูด ที่มีเอกลักษณ์มากที่สุดชาติหนึ่ง เพราะอะไรวิเคราะห์ได้ว่า ในแถบประเทศใกล้ประเทศไทย มีประเทศลาว ประเทศพม่า ประเทศเวียดนาม ประเทศมาเลเชีย ประเทศจีน ประเทศสิงค์โปร ประเทศอินเดีย ประเทศศรีลังกา ประเทศญี่ปุ่น ประเทศเกาหลีใต้ ที่กล่าวมานี้ ทุกชาติล้วนมีภาษาพูด ภาษาเขียน ของตนเองเช่นกัน แต่ของจีนจะเหมือนกับญี่ปุ่นและเกาหลีใต้และของสิงค์โปร์ในด้านภาษาเขียน และภาษาเขียนของอินเดียจะเหมือนกับศรีลังกา เนปาล ดังนี้เป็นต้น ที่ดูจะต่างจากชาติอื่นมากที่สุดก็คือประเทศไทย ไม่มีประเทศไหนเหมือนประเทศไทยเลยสักประเทศเดียวในแถบเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ หรือทั่วทั้งโลกก็ว่าได้ ที่จริงคนไทยเป็นชาติที่ฉลาดมากชาติหนึ่งเลยที่เดียว เพียงแต่ว่าการกำหนดทิศทางความเป็นเลิศปลูกฝังชาตินิยมของรัฐบาลยังไม่แน่นอนเด่นชัดเท่านั้นเองในอดีตที่ผ่านมา ไปยกย่องวัฒนธรรมต่างชาติมากเกิน ปล่อยให้วัฒนธรรมต่างชาติใหลเข้ามายังไทยได้ง่ายแต่ไม่เป็นไรหรอกตรงนี้ แต่การรับกันผิดๆๆนั้นแหละอันตราย ที่ทำให้หลงลืมความเป็นไทย อันนี้ต้องเน้นหน่อย ผู้ใหญ่นั้นแหละตัวการสำคัญในอดีตที่ไปฟุ่งเฟ้อกับของนอกสร้างค่านิยมของนอกให้เกิด ขึ้น.... จริงหรือไม่ ตรงนี้ช่วยตอบหน่อย.. ทั้งรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ ทีวี ตู้เย็น ที่ใช้กันอยู่ของญี่ปุ่นทั้งนั้นแต่ทำในจีน ยี่ห่อเมดอินไทยแลนด์ ไม่มีเลย ในตลาดประเทศไทย เพราะผู้ใหญ่ในอดีตไม่สร้างค่านิยมและไม่สร้างแบรนแนมให้กับประเทศตัวเองเหมือนดูถูกตนเอง เพราะตาโตเมื่อเห็นเงินที่หยิบยื่นให้และเป็นการทำร้ายประเทศไทยทั้งๆไปศึกษาดูงานต่างประเทศกันบ่อยมาก หมดงบประมาณจากภาษีประชาชนไปดูงานต่างประเทศจำนวนหลายพันล้านที่ผ่นมา แต่ไม่ได้เอาสิ่งดีๆมาพัฒนาประเทศไทยเลย ไปเที่ยวกันมากกว่า ด้วยต้องเขียนหนักๆเพราะต้องการให้สำนึกกันซะบ้าง เพราะหน้าที่พระที่เป็นบุคคลสาธารณะที่ต้องเทศน์ต้องอบรมสั่งสอน และให้ปัญญาตามเจตนารมณ์ของพระพุทธเจ้า มากกว่าด้านไสยศาสตร์ ส่วนแถบตะวันตกไม่ต้องพูดถึงภาษาอังกฤษแถบทั้งสิ้น จะต่างการพูดบ้างและการเขียนบ้างในแถบบางประเทศทั้งในซีกยุโรป หลวงพี่คิดว่าภาษาไทยมีเอกลักษณ์และสวยงามมากที่สุดชาติหนึ่ง และภาษาไทยถ้าเรียนเจาะลึกกันจริงๆยากมาก หลวงพี่เชื่อว่าเรื่องความฉลาดหลักแหลมประเทศไทยไม่เป็นรองชาติไหนทั้งสิ้น ที่นี้กลับมาเรื่องประเทศอินเดีย ตอนที่อยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิพวกสาวๆไทยแผนก Check in ของสายการบิน Jet Airway ได้รวมเงินถวายหลวงพี่ แม้โชคดีตั้งแต่ก่อนเดินทาง ที่นี้พอได้เวลาขึ้นเครื่อง สาวแอร์โฮลเตสเธอเป็นคนอินเดียเธอบอกว่าเธอเป็นชาวพุทธเธอให้อีเมล์ไว้ให้ด้วยเพราะเธออยากเรียนธรรมะและการปฏิบัติธรรม

SL370159

สาวแอร์ Jet.

SL370160

คณะที่ไปด้วยกัน ที่สนามบินKolkata.

ทุกคนที่ไปด้วยกันเดินทางไปสอบ ดร. และได้เป็น ดร. กันทุกคน ทุกคนเริ่มเช้าวันใหม่ด้วยบรรยากาศที่ดีไม่ร้อนมีฝนตกด้วย ทุกคนรับประทานอาหารเช้าเสร็จจึงได้เดินเดินทางไปนมัสการสถานที่ตรัสรู้ และวัดญี่ป่น ตามเจตนารมณ์ที่ตั้งไว้แต่ไทกคนไม่ลืมการสอบ เพราะทุกคนวันสอบไม่ตรงกัน ของหลวงพี่สอบวันที่ 26 สิงหา 52 ภายในวันสอบมีทหารถือปืนเข้ามาในมหาวิทยาลัยด้วยถามได้ความว่ามาดูแลการสอบของนักศึกษาไทย และอารักขาคุมกันผู้ใหญ่ท่านหนึ่งคืออธิการบดี คือผู้ว่าการรัฐพิหารที่ท่านมาตรวจเยี่ยมมหาวิทยาลัยมคธ ผู้ว่าการรัฐจะเป็นอธิการบดีโดยตำแหน่ง ดังรูป

DSCN0121

DSCN0122

ทหารอินเดียถือปืนมาดูแลเรื่องการต่างๆและคุมกันผู้ใหญ่ในมหาวิทยาลัยมคธ (เดี๋ยวใครสอบไม่ได้ใส้แตก ล้อเล่นนะ).

วันที่สอบเสร็จหลวงพี่รู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก และได้ไปสวดมนต์ที่ตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์เพื่อระลึกถึงพระพุทธองค์ 3 ครั้ง หรือ 3 วัน ดูๆจะน้อยไปด้วยซ้ำ เพราะติดภาระเรื่องการสอบ เรื่องการสอบทุกคนผ่านไปด้วยดีทุกคน หลวงพี่สอบเสร็จรับเล่มดุษฎีนิพนธ์จาก หัวหน้าคณะวิชาหรือ Head นั้นเอง

DSCN0169

สอบเสร็จรับเล่มจาก Dr. Sushil Kumar Singh ใหญ่ในมหาวิทยาลัยมคธ ท่านเซ็นทุกเรื่องยกเว้นใบปริญญาเอกที่จะต้องออกจากรัฐบาลจากส่วนกลาง ที่จะต้องมีรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาและอธิการบดี และท่าน S.K. Singh ด้วย .

อีก 4 เดือนคือปีหน้าปี 2553 หรือ ปี 2010 ถึงจะได้ใบรับรองและรอไปอีกกี่เดือนไม่รู้ในปี 2010 ถึงจะได้รับใบปริญญาบัตร และได้ไปถ่ายรูปกับคณะต่างๆสักหน่อย

DSCN0136

DSCN0118

DSCN0126

ต้องเล่าเรื่องข้ามๆไปบ้างเพราะถ้าจะให้เล่าความเต็มๆยาวเป็นหางว่าวแน่นอนนี้เอาแบบย่อที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเนื้อหาที่เป็นประโยชน์แน่นอนและใช้ความจำมาเขียนกันสดๆ ไม่ได้จดเลย ที่นี้ที่มหาวิทยาลัยมคธมีนักศึกษาทั้งชาวเวียดนาม และพม่า และหลวงพี่เลยโชว์วิสัยทัศน์ให้พระนักศึกษาปริญญาโทชาวพม่าซะเลย หัวเราะก๊ากกันทั้งห้องเรียน พูดอะไรหว่า ไม่รู้เรื่อง ฮิฮิ

DSCN0131

DSCN0130

ภาพข้างบนกำลังโชว์วิสัยทัศน์ต่อหน้าพระพม่านักศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาลัยมคธ.

เอาละสนุกพอสมควรแล้ว ที่นี้ได้ไปสวดมนต์ไหว้พระกันที่สถานที่ตรัสรู้พอเข้าไปรอบๆเจดีย์และใต้ต้นโพธิ์พอเข้าไปรู้สึกได้ว่าเย็นมากพอเข้าไปคือข้างนอกจะร้อนน่าดูแต่พอเข้าไปใกล้รอบเจดีย์หรือใต้ต้นโพธิ์ และได้ไปชมวัดญี่ปุ่น

DSCN0029

DSCN0025

DSCN0021

DSCN0016

DSCN0020

สวดมนต์ไหว้พระเสร็จกลับที่วัดไทยมคธ ฉันเพลและรับประทานอาหาร หลังสอบเสร็จแล้วได้ทำบุญให้กับตัวเองโดยการแจกทานแก่เด็กชาวพุทธ ดังรูปข้างล่าง.

DSCN0229

พอแจกทานเสรจแล้วได้ไปไหว้พระที่พุทธสถานอีกรอบ แต่ในวันที่ 28 สิงหาคม หลวงพี่ได้ไปจองตั๋วรถไฟเพื่อเดินทางไปมุมไป(Mumbai)เพื่อพบกับ Prof Dr. Harichandan ซึ่งท่านเป็นไกค์ให้หลวงพี่และเป็นหัวหน้าการจัดการศึกษาทางไกล ที่ มหาวิทยาลัยมุมไบ และตอนนี้ท่านได้เป็นศาสตรจารย์แล้ว จึงเก็บรูปใบจองรถไฟและตั๋วมาให้ดูด้วย ดังรูป

DSCN0154

DSCN0146

DSCN0149

Copy of DSCN0157

ตั๋วรถไฟที่หลวงพี่จองชั้น First Class ราคา 2,928 รูปี รถไฟอินเดียใหญ่มากขบวนยาวเกือบ 1 กิโลเมตร และวิ่งเร็ว ต้องเตรียมตัวกันก่อนเวลาเป็นชั่วโมงกว่าจะหาตู้เจอ ส่วนรถไฟไทยเล็ก ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง เพราะความเก่ามาก แถมตรงหน้าต่างที่เป็นกระจกเอาอะไรเล็กๆมาแปะไว้ตรงกระจกทำให้การมองไปภายนอก ไม่สามารถเห็นชัดเจน ซึ่งทำให้หงุดหงิด.

ตอนอยู่ที่สถานีรถไฟหลวงพี่ได้พบกับเด็กยากไร้คนหนึ่ง ที่เห็นครั้งแรกหลวงพี่รู้สึกถึงความปราถนาดีต่อเด็กคนนี้เป็นอย่างมาก ตอนนนั้นคิดว่าอยากอุปการะเป็นลูกบุตรบุญธรรมเป็น ด้วยดวงตาที่ใสซื่อของเธอที่ไร้เรียงสา ใสซื่อบริสุทธิ์ เธอไม่ได้เข้ามาขอเงินหลวงพี่เลย แต่เธอกับมองยืนหลวงพี่ด้วยดวงตาที่ใสซื่อบริสุทธิ์โหยหาแสงสว่างของชีวิต ใจตัวเองบอกกับตนเองตอนนั้นว่า ตัวเราไม่ใช่คนที่ลำบากหรือทุกข์ที่สุดแล้ว แต่เด็กหญิงเธอคนนี้ลำบากกว่าเราเป็นร้อยเท่า เพราะเธอต้องยืนต่อสู้กับเสือ สิงห์ กระทิง แรด ด้วยตัวเธอเองและที่สำคัญเป็นเด็กผู้หญิงด้วยเธอจะต้องพบกับแต่พวก เสือ สิงห์ กระทิง แรด(คนเลวจำพวกต่างๆ) มากมายในสังคมของเธอ ทั้ง ความลำบากกับความทุกข์ที่เธอไม่อาจจะรู้ได้ในวันข้างหน้ามันแสนสาหัสนัก กับเด็กผู้หญิงเช่นเธอ แต่ด้วยสถานภาพทางการเงินของหลวงพี่ยังไม่สามารถเลี้ยงเธอเป็นบุตรบุญธรรมได้ หลวงพี่ได้แต่เสียใจในใจคนเดียว ว่าวันนี้เราไม่พร้อม นี้ถ้าพร้อมนะจะรับเธอเป็นลูกบุญธรม แล้วส่งเธอเข้าเรียนโรงเรียนกินนอนที่อินเดียนั้นแหละ เพื่อให้เธอพพ้นทุกข์ ในวันข้างหน้าเราต้องช่วยเหลือเด็กเช่นนี้ให้พ้นทุกข์ให้ได้ แล้วในใจก็บอกกับตัวเองว่าเราได้ครูสอนใจคนใหม่แล้ว เธอเป็นครูสอนใจเรา ให้ต่อสู้พจญกับภัยขวางหนาม เธอเป็นครูหลวงพี่ที่อายุน้อยที่สุด และหลวงพี่เชื่อว่าเธอไม่มีโอกาสไปทำร้ายใคร ให้เดือดร้อน หรือตกทุกข์แน่นอน นี้คือความดีของเธอไง ดังรูป

DSCN0196

FSCN0224

ด้วยดวงตาที่ใสซื่อบริสุทธิ์ของเด็กน้อยที่น่ารัก ที่เธอจะต้องอยู่ท่าม กลางภัยต่างๆ เธอไม่เคยรู้แม้ว่าโลกข้างนอกเป็นอย่างไร แต่เธอเป็นครูของหลวงพี่แล้ว.

ในเช้าของวันที่ของวันที่ 29 สิงหาคม หลังหลวงพี่ได้ไหว้พระเสร็จจึงได้ไปที่สถานีรถไฟอีกครั้งเพื่อไปหาครูคนใหม่ของหลวงพี่ คือเด็กผู้หญิงในรูปข้างบนนั้นเอง แต่ไปแล้วไม่เจอกับเธอ หลวงพี่เดินหาดูหาเธอเพื่อจะมอบเงินนิดหน่อยให้เธอแต่ไม่พบกับเธอ ก่อนที่หลวงพี่จะจากไปจากเมืองกายา (Gaya) หลวงพี่เลยให้ช่างขัดรองเท้าขัดรองเท้าและเย็บรองเท้าไปเลย แล้วก็กวาดสายตาไปรอบๆเพื่อมองหาครูคนใหม่ของหลวงพี่ แต่ไม่พบเธอแล้ว ก่อนกลับวัดไทยมคธ ดังรูป

DSCN0244

DSCN0242

รองเท้าจากเมืองไทยแต่คนที่ได้เย็บรองเท้ากับเป็นคนอินเดีย.

ยังอยู่ที่ Gaya ที่จริงแล้ววันที่ 25 ส.ค. 52 คณะของพวกเราได้เข้าไปยังเมืองกายา เพื่อเดินสำรวจตัวเมืองกายา ดูวิถีชีวิตของคนในกายา ในเมืองกายามีคนมาก มีวัว และเพาะ เยอะมาก ซึ่งวิถีชีวิตของคนอินเดียในเมืองกายา ก็ไม่ต่างจากชีวิตคนอินเดียในที่อื่น มีการค้าขาย จำพวกผลไม้ พืชผักเป็นส่วนมาก อาหารก็เหมือนกันทั้งอินเดีย รสชาติ พอกินได้ แต่คนที่ไม่คุ้นจะกินไม่ได้ จะต้องพึ่งอาหารไทยที่วัดไทยที่แม่ชี ช่วยกันทำ แต่ก็มีบ้างที่ทดลองกิน และต้องกิน โดยเฉพาะ จ๋าย คือ นมวัวต้มผสมด้วยชา ดื่มร้อนๆได้รสชาติดี สมัยที่พระอาจารย์ไปอยู่บ้านไกค์ที่มหาวิทยาลัยมุมไบ ภรรยาของไกค์ของหลวงพี่ คือ Prof Dr. Harichandan ซึ่งภรรยาท่านเป็นอาจารย์อยู่มหาวิทยาลัยผู้หญิง ที่มุมไบ (S N DT WOMEN·S UNIVERSITY) ทำอาหารอินเดียได้อร่อยดี สะอาด กว่าขายตามตลาด โดยเฉพาะผัดเผ็ดไก่ ทำได้อร่อยดี และท่านมีลูกผู้ชายด้วย เป็นหลานของหลวงพี่เองมีหลานเป็นคนอินเดียด้วยนะ ที่นี้เก็บรูปภาพในเมืองกายามาเพื่อเป็นที่รำลึก ดังรูป

DSCN0097

DSCN0092

DSCN0054


DSCN0099

DSCN0108

SL370207

DSCN0210

DSCN0076

รูปภาพข้างบนจากเมืองกายาและถ่ายรูปกับพระพิฆเนศวร ของอินเดียแท้ ซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์แห่งศิลปะอีกด้วย.

ยังไม่หมดพวกเราจำนวนหนึ่งได้เช่ารถไปยังบ้านนางสุชาดา และแม่น้ำเนรัชราด้วย ทริปนี้จึงเต็มไปด้วยการศึกษาอารยะธรรมโบราญสมัยพระพุทธเจ้า ดังรูป

DSCN0170

ด้านซ้ายสุดเป็น รศ. ดร. มหาวิทยาลัยนเรศวร พิษณุโลก และขวาสุดคือ ดร.ปลัดเมืองเลย.

SL370201

DSCN0179

DSCN0175

รูปด้านบน ชมบ้านนางสุชาดา และแม่นำเนรัชรา.

ยังมีอีกที่ๆน่าสนใจใน Bodh-Gaya ที่ใกล้กับสถานที่ตรัสรู้ อยู่ใกล้กับแม่น้ำเนรัชรา ซึ่งดูจากภายนอกแล้วน่าจะเป็นวัดของพุทธศาสนามาก่อน หลวงพี่คิดอยู่ในใจตอนนั้น ก่อนที่นักบวชชาวฮินดู จะมายึดไป เป็นวัดที่เก่ามากๆๆ ความคิดที่คิดไว้คิดไว้ไม่ผิดเมื่อเข้าไปข้างในปรากฏว่ามีพระพุทธรูปเก่าจำนวนมากที่ถูกเอาออกมาวางไว้ตามกำแพงภายใน ซึ่งน่าโมโหมาก หลวงพี่คิดในใจว่านี้ถ้าไม่ใช่บุญของเราไม่มีสิทธิ์ได้มาพบแน่นอนเพราะมาด้วยความบังเอิญคือ พี่ปลัดเค้าโทรไปหาคนอินเดียให้มารับหลวงพี่ไปถ่ายรูปหน่อย เค้าก็มารับหลวงพี่ ที่นี้หลวงพี่พอถ่ายรูปแล้วต้องรอ เลยให้คนอินเดียพาไปชมสถานที่ต่างๆพรางๆไปก่อน หลวงพี่ไปเตาะตาตรงซอกที่มีตึกเก่า คนอินเดียบอกว่าเป็นวัดฮินดู แต่พอไปเห็นเหมือนวัดของพุทธ ที่ข้างในมีนักบวชชาวฮินดูยึดครองไว้ และได้นำพระพุทธรูปสมัยโบราญมาวางกองไว้กับพื้น ซึ่งนักบวชชาวฮินดู ซึ่งดูจากสีหน้ามีความวิตกเช่นกันที่เรามาเห็นในลักษณะเช่นนี้ เค้าห้ามถ่ายภาพแต่หลวงพี่ให้คนอินเดียที่พาหลวงพี่มา พูดว่าขอถ่ายเก็บไว้เป็นที่ระลึก เค้าไม่อะไรเลยได้ภาพพระพุทธรูปเก่าๆสมัยน่าจะพระเจ้าอโศกมหาราชโน้นเลย เป็นการคาดคะเน ของหลวงพี่เอง ปรากฏรูปดังนี้

SL370186

SL370190

SL370192

SL370194

SL370199

SL370200

ถ้าเป็นไปได้อยากให้องค์กรพุทธนานาชาติ ไปขอมารักษาเก็บไว้ศึกษาก่อนจะไม่มีไว้ให้ศึกษา อาจจะโดนทำลายไปก่อน.

เอาละที่นี้รถไฟที่หลวงพี่จองไว้ สรุปแล้วคือเราให้รถมารับแต่ตี 3 ครึ่ง ไปถึงสถานีรถไฟ ตี 4 กว่า โดยมีท่าน ดร.ปลัดอำเภอเลย ดร.ใหม่ และ ดร.พระปรีชาส่งที่สถานีรถไฟ เพราะรถไฟออก ตี 5 ครึ่ง แต่รถไฟมาสายเกือบ 6 โมงเช้า เป็นรถไฟที่มาจากสถานีอื่น ไม่ใช่ต้นทาง หลวงพี่กับท่าน ดร. รองศาสตราจารย์ ดร.ใหม่ รุ่นเดียวกับหลวงพี่ เดินไปถามในระหว่างรถไฟไม่มา แต่พอเดินกลับมา ไปยังไม่ถึง 10 นาที เดินกลับมารถไฟที่จะไปมุมไบ กำลังเคลื่อนตัวออกจากสถานีรถไฟกายา ไปอย่างช้าๆ ที่นี้หลวงพี่ยังไม่ทันหาตู้รถไฟของเราเลย เพราะขบวนยาวมากเราไม่รู้ว่าตู้ไหนเป็นของเรา รถไฟค่อยๆเคลื่อนตัวออกไปและเร็วในที่สุด จนเจ้าหน้าที่รถไฟบอกว่าตู้นี้ของเราก็สายไปเสียแล้ว เพราะรถไฟออกตัวเร็วขึ้น ขึ้นไม่ทัน ตกรถไฟอดไปมุมไบ แต่ยังดีที่เจ้าหน้าที่รถไฟ เอาตั๋วของหลวงพี่ไปเขียนเพื่อขอเงินคืน ได้เงินคืนมา 2,900 รูปี ซึ่งหักไปแค่ 28 รูปี ไม่น่าเชื่อเลยเราตกรถไฟเองจะได้เงินคืนมาตั้ง 2,900 รูปี เอารูปมาให้ดูด้วย

DSCN0185

DSCN0182

DSCN0188

รูปที่สถานีรถไฟเมืองกายา และตั๋วที่ได้การรับรองการไม่ได้ไปจากเจ้าหน้ารถไฟ ก่อนที่จะไปยื่นที่เคาเตอร์ 6 เพื่อคืนเงิน.

ที่นี้ไปได้ไปมุมไปก็ไม่เป็นไร หลวงพี่ก็อยู่ต่อที่ Bodh-Gaya หรือที่วัดไทยมคธต่อไปเพื่อรอเดินทางกลับไป Kolkata เพื่อกลับเมืองไทย ที่นี้ไปที่มหาวิทยาลมคธ วันนั้นคนยังไม่เยอะมาก ได้ไปเห็นส้วมแปลกของผู้หญิงที่ยังใช่อยู่ เลยถ่ายรูปมาเก็บไว้เพราะแปลกดี เลยได้ถ่ายรูปส้วมในห้องน้ำที่ห้องที่วัดมาด้วยเพื่อให้ได้ดูกันเรื่องส้วมนี้ไม่ใช่เรื่องน่าที่น่ารังเกียจ อะไรเพราะเราต้องใช้ทุกวัน ถึงขนาดมีวันส้วมโลกที่ประเทศอินเดียเคยเป็นเจ้าภาพมาแล้ว มาดูกันส้วมแปลกของอินเดีย

DSCN0200

ส้วมนี้เป็นของสตรี only (Women only)เป็นส้วมรูปร่างแปลกเก่าแต่เป็นระบบน้ำกดด้วย อยู่ในมหาวิทยาลัยมคธ ตึกหอสมุด.

DSCN0259

อันนี้มีใช้ทั่วไป.

DSCN0008

อันนี้มีใช้ที่ห้องพักที่วัดและที่ตามบ้านหรือโรงแรม.

DSCN0006

เป็นอ่างล้างหน้าที่มีทรงแปลกๆ ที่ห้องนอนที่วัดไทย.

วันต่อมาหลังจากไม่ได้ไปมุมไบ ได้อยู่ที่วัดกับคณะจนถึงวันที่ 29 สิงหาคม 52 จึงได้ติดต่อรถให้มารับเพื่อกลับไปยังสนามบิน Kolkata เพื่อกลับไทย หลวงพี่ก็กลับไปด้วยกับคณะ ไปถึงสนามบิน Kolkata เวลา 6 โมงเช้ากว่า ทุกคนลงจากรถแล้วจ่ายค่ารถกันเป็นรถเหมามา 2 คัน ทุกคนเดินเข้าไปในแอร์พอต Air port กันหมดทุกคน หลวงพี่สุดท้าเลย ตำรวจเฝ้าหน้าประตูขอดู passpot และตั๋ว หลวงพี่ส่งให้ดู แต่ตำรวจบอกว่าในตั๋วระบุวันกลับวันที่ 5 กันยายน 09 ตำรวจไม่ให้หลวงพี่เข้าไป หลวงพี่บอกว่าจะกลับไทยและเข้าไปเปลี่ยนตั๋วคือเลื่อนวันกลับที่บริษัทการบินแจ๊สแอร์เวย์ ข้างในสนามบิน แต่ตำรวจไม่ยอมต้องให้เราไปเปลี่ยนวันกลับมาเป็นวันที่ 30 กันยายน 09 ก่อน ทำอย่างไรได้จะไปเปลี่ยนทันได้อย่างไรเพราะ Jet Airway ที่ Kolkata ไม่รู้อยู่ที่ไหน จะโทรกลับมาเมืองไทยก็ไม่ใช่เวลาทำงาน ท่าน ดร. รศ. และ ดร.ปลัดมาช่วยเคลียไม่สำเร็จและแนะนำว่าไม่เป็นไร ไปพักที่ Buddhis Temble Bengal เป็นวัดของชาวพุทธของอินเดีย หลวงพี่เลยไปที่วัดดังกล่าว เป็นวัดพุทธที่มีพระไทยที่พาราณาสี หรือที่มคธ จะมาพักเพื่อรอกลับเมืองไทย หรือแม้แต่คนไทยอื่น และชาวอินเดียซึ่งเป็นชาวพุทธหรือนานาชาติมาพัก หลวงพี่ได้พักอยู่ห้องเบอร์ 4 ติดกับห้องเบอร์ 5 ซึ่งมีพระไทยมาเช่าอยู่ 2 รูปจากพาราณาสี ท่านมาติดต่อธุระ ไม่ได้กลับไทย ถือว่าโชคดีที่เจอพระไทยมาเช่าอยู่ก่อนแล้ว เลยได้คุยกันถามว่าไปรับประทานอาหารที่ไหน แลกเงินที่ไหน Jet Airway office อยู่ที่ไหน Jet ตั้งอยู่ถนน park Street เรียบร้อยได้ข้อมูลครบครัน ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เลยได้พักที่ Kolkata ตั้ง 5 คืน ได้ไปชม วิคตอเรีย ที่ทำด้วยหินอ่อนทั้งหลัง โรงเรียนและสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน และอื่นๆ ขอบอกว่าที่ Kolkata ร้อนมากๆ

DSCN0265

วัดเบงกอล ที่ Kolkata รูปด้านบน.

DSCN0269

DSCN0270

วัดคริสจักร ใน Kolkata .

DSCN0271

DSCN0274

รูปด้านบนเป็นสถานีรถไฟใต้ดินที่ Kolkata.

DSCN0277

DSCN0285

DSCN0286

ที่วิตตอเรีย (Victoria Memorial Hall) ที่ Kolkata.

DSC00072

DSC00071

DSC00066

DSC00069

ภายในวิคตอเรียจะมีรูปภาพเก่าๆ สมัยอังกฤษปกครอง และหนังสือเก่าๆ พร้อมรูปปั้นเก่าๆ ตามภาพข้างบน.

DSC00073

เด็กๆอินเดียยืนให้ถ่ายรูป.

ที่นี้จะเล่าเรื่องด้วยภาพแล้วนะ เอาไว้เขียนสรุปทีเดียว รูปภาพทั้งหมดสามารถเล่าเรื่องแทนเราได้นะ รูปภาพทั้งหมดข่างล่างนี้เป็นรูปที่ถ่ายที่ Kolkata และที่สถานีรถไฟ HOWRAH ฝังตรงข้ามกับ Kolkata เป็นสถานีรถไฟที่ใหญ่ตึกสวย แต่หลวงพี่นั่งรถเมล์ประจำทางเข้าไปข้างในคนละเรื่องเลยสภาพบ้านเรือนเก่ามาก ไม่เหมือนที่ Kolkata และได้ถ่ายรูปพริกที่เผ็ดที่สุดที่ส่งมาจากรัฐอัสสัม ของอินเดียมาไว้ดูด้วย และมีมะข้ามป้อมด้วยเม็ดใหญ่แต่พอลองกินไม่ค่อยเปรี้ยวมากออกจืดๆ เพราะมันยังไม่ใช่น่าที่จริงของมันหน้าจริงๆฤดูหนาว อันนี้น่าจะเป็นการเก็บไว้ได้โดยมีวิธีเก็บ ตอนข้ามไปฝั่งเฮาร่า ต้องนั่งเรือข้ามไป นั่งเรือไปได้เก็บภาพจากขณะข้ามเรือแฟรี่มาด้วย และเจอวนิพกพเนจรด้วยบนเรือ และได้รูปดีมากเก็บไว้ด้วยและด้วยความบังเอิญหลวงพี่ได้ไปพบกับแผงเหรียญเก่าคือเงินเก่าๆและเหรียญเก่าของอินเดีย มีอยู่ร้านเดียวจริงๆเป็นหญิงชราที่นั่งขายอยู่หญิงชราขายเองเป็นเจ้าของเอง หลวงพี่เลยไปยืนดู และไปเจอเหรียญรูปพระพุทธเจ้าอยู่เหรียญหนึ่ง มีเหรียญเดียว และเหรียญรูปเทพเจ้าต่าง หลวงพี่เลยบูชามาเก็บไว้ทั้งหมด 5 เหรียญ และอีกเหรียญหนึ่งเช่าจากเด็กที่มาปล่อยให้หญิงเจ้าของร้านแต่หยิงชราไม่เอาหลวงพี่เลยขอเช่ามาแทน เป็นสมบัติของแผ่นดินไทยต่อไป ดังจะให้ดูรูปให้รูปเล่าเรื่องแทนหลวงพี่

DSCN0307

DSCN0303

เป็นพระอินเดียที่วัดที่หลวงพี่ไปพักท่านจบจาก มหาวิทยาลัยมคธ เช่นเดียวกับหลวงพี่ มีโรงเรียนในวัดด้วย นักเรียนกำลังสวดระลึกถึงพระพุทธเจ้า เป็นโรงเรียนวิธีพุทธแบบ Engligh Class ได้ศึกษาดูงานโรงเรียนไปในตัวด้วย ดีมาก ใครที่อยากไปดูงานโรงเรียนวิธีพุทธจริงๆ ไปดูได้ที่นี้สอนด้วยภาษาอังกฤษซะด้วย.

DSCN0331

DSCN0332

DSCN0333

DSCN0340

DSCN0336

DSCN0341

DSCN0338

DSCN0339

DSCN0343

DSCN0350

DSCN0341

DSCN0345

เป็นเหรียญสร้างเมื่อปี 1818 หลวงพี่นำกับมาเมืองไทยเป็นสมบัติของแผ่นดินไทย.

DSCN0348

พริกจากมานิปูเผ็ดมาก.

DSCN0347

รูปด้านล่างนี้เป็นป้ายของมหาวิทยาลัยมานิปู สิกขิม วิทยาเขตเฮาร่า.

DSCN0349

รูปด้านล่างนี้เด็กข้างถนนกำลังเขียนรูปเป็นศิลปะบนถนน.

DSCN0324

เด็กกำลังเล่นที่สนามหญ้าในวิคตอเรีย แต่เด็กผู้หญิงใส่เสื้อสีชมพู ด้านหลังเดินมาถามชื่อหลวงพี่ ด้วยคำถาม What's your mane? เธอตั้งใจเดินเข้ามาคุยกัหลวงพี่ เธอมากับพ่อแม่เธอไม่เคยเห็นหลวงพี่มั้ง แต่เธอยิ้มตลอดแสดงถึงความนับถือหลวงพี่.

DSCN0292

กลับประเทศไทยแล้วในวันที่ 4 ,09 ,09 รูปภาพข้างล่างถ่ายตอนนั่งรถไปสนามบิน.

DSCN0356

DSCN0355

DSCN0358

DSCN0362

DSCN0363

ที่ Kolkata ยังมีรถไฟฟ้ารางด้วยเป็นตัวเลือกสำหรับโดยสาร เป็นของเก่า สมัยอังกฤษไปสถานที่ต่างๆ หลวงพี่ได้นั่งด้วย เมืองไทยของเราเคยมีรถไฟรางที่วิ่งในเมืองด้วย สร้างสมัยรัชกาลที่ 5 ถ้าจำไม่ผิด ทุกวันนี้ที่กรุงเทพยังมีรางรถไฟรางให้เห็นอยู่ทุกวันนี้แถวเยาวราช แต่เดียวนี้ไม่มีแล้ว เพราะรัฐบาลสมัยต่อมาวิสัยทัศน์ไม่ถึงมองไม่ออก ว่าควรอนุรักษ์ไว้ เก็บไว้เป็นตัวเลือกในการโดยสารไปสถานที่ต่างๆ น่าเสียดาย กับความคิดตื้นๆของรัฐบาลสมัยนั้นเสียจริง นี้บ้านเราถ้ามีรัฐบาลเก่งๆจริงเมืองไทยของเราพัฒนาไปนานแล้ว แต่เก่งก็คงมีแต่เก่งด้านคำพูดไม่เก่งทำ ที่จริงคนไทยเก่งๆดีๆมีเยอะ แต่ไม่มีโอกาส เพราะอุปสรรคต่างๆ ที่ไปเจอแต่พวกเห็นแก่เงินมากกว่าเห็นแก่ประเทศไทยและคนไทยส่วนรวม รูปรถไฟฟ้ารางที่ Kolkata ที่ยังใช้อยู่ถึงปัจจุบัน 100 กว่าปี แล้ว

DSCN0264

รูปด้านล่างเป็นตึก ตาต้า TATA ที่นำรถมาขายในไทย คนอินเดียเรียก ตาต้า แต่คนไทยที่เมืองไทยกับโฆษณาเรียกว่า ทาทา แปลกแต่จริง.

DSCN0294

DSCN0297

ความหมายของชีวิตและจุดมุ่งหมายสูงสุดของชีวิต ไม่ได้อยู่ที่ปริญญาเอก แต่อยู่ที่การเป็นมนุษย์ที่ดีที่สมบูรณ์ของสังคมต่างหาก ที่หลวงพี่ต้องการเป็น .

สรุป ความหมายของชีวิตหรือจุดหมายสูงสุดของหลวงพี่ไม่ใช่อยู่ที่ปริญญาเอก วุฒิการศึกษาที่ได้มาเป็นไปตามกระบวนการด้านการศึกษา แต่จุดมุ่งหมายของชีวิตของหลวงพี่อยู่ที่การเป็นมนุษย์ที่ดีที่สมบูรณ์ ไม่ว่าหลวงพี่จะจบปริญญาเอก จากประเทศไหนก็ตามก็ยังไม่ใช่จุดมุ่งหมายสูงสุดสูงสุดของหลวงพี่ แต่การอยู่แบบไม่เบียดเบียนคนอื่น ไม่ให้ทุกข์คนอื่น ไม่กล่าวร้ายคนอื่นที่เป็นเท็จ ไม่ข่มเหงคนอื่น มีมิตรไมตรีต่อกันและที่ต่างจากสัตว์มากกว่า และอยู่ที่การที่เป็นมนุษย์ที่ดีที่สมบูรณ์ของสังคมต่างหาก ที่หลวงพี่ต้องการ และป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของชีวิตของหลวงพี่ แม้มีความรู้แต่ไม่มีคุณธรรมย่อมเลวร้ายมาก อยากเห็นสังคมไทยมีแต่สิ่งดี เพราะปริญญาเอกเป็นเครื่องมือประกอบอาชีพเท่านั้น มันไม่ได้ไปกับเราด้วยเวลาตาย แต่ความดีความชั่วเท่านั้นที่ติดตามตัวเราไป ปริญญาเอกไม่สามารถทำให้ตัวเราเหาะได้หรือวิเศษกว่าคนอื่น ยังคงต้องกินข้าวราดแกงอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ได้รับคำชื่นชมจากบุคคลต่างๆเท่านั้น แต่เราจะข้ามพ้นได้ก็คือการทำดี ตามหลักธรรมะ เป็นคนที่ดีของสังคม ทำให้ประเทศเจริญ นั้นแหละที่วิเศษสุด การเดินทางไปประเทศอินเดีย ได้ไปตามหนังสือของมหาวิทยาลัยมคธ เชิญไป Viva- Voce ที่มหาวิทยาลัย โดยที่เราเลือกวัน-เดือน ไม่ได้ และการที่ขึ้นต้นว่าอินเดียเมืองแห่งความเร้าใจ คือ อินเดียประสบความสำเร็จทุกอย่าง ไม่ว่าด้าน IT (ไอที หรือด้านซอฟแวร์) ด้านธุรกิจที่เติบโตขึ้นอย่างมาก ด้านหนังหรือ(BOLLYWOOD)ที่มีหลายเรื่องที่ดังไปทั่วโลกในสมัยก่อนคนไทยเราติดหนังอินเดียง่อมเลยทางโทรทัศน์ แต่ทุกวันนี้ทางโทรทัศน์หรือทีวีไม่มีหนังอินเดียมาให้ชมเลย แต่มีคนไทยเขียนเรื่องราวประเทศอินเดียออกมาเป็นหนังสือขายกันเต็มไปหมดเลยในแผงหนังสือ (ในวงสนธนาของ เหล่า ดร.ใหม่ที่แสดงความคิดเห็นตรงกัน) ทุกวันนี้มีแต่หนังที่หลอกเด็ก หนังเย้ายวนมอมเมาให้เด็กใจแตกชอบนำมาเสนอให้ชมทางทีวี เช่นหนังฝรั่งมีหลายเกรดแต่ที่นำมาให้ชมเป็นหนังแนวไม่ค่อยได้เรื่อง หนังเกาหลีใต้แนวรัก หนังจีนแนวเก่าๆ หนังญี่ปุ่นพอใช้ได้ มีเท่านี้แหละที่นำออกมาให้ผู้ชมทางบ้านได้ชม ยิ่งของทีวีเสรี หรือ ไทยพีบีเอส แล้ว มีแต่หนังของเกาหลีและจีน เท่านั้นที่นำมาให้ชมกัน หนังไทยทุกวันนี้ไร้สาระไม่มีข้อคิดแถมน้ำเน่าอีกต่างหากและทลึงทะเล้น และอินเดียยังประสบความสำเร็จหลายเรื่องเช่นส่งยานอวกาศขึ้นไปนอกโลก หรือไม่ก็ด้านยานยนต์ ยี่ห้อ TATA และด้านยา (Medicine) ไทยยังต้องนำเข้าจากอินเดีย และอินเดียยังสามารถผลิตเรือดำน้ำได้สำเร็จอีกด้วย เป็นต้น และที่ว่าเมืองแห่งสัจจะธรรมของชีวิต คือจะได้พบชีวิตที่หลากหลาย พระพุทธเจ้าพบกับหลักสัจจะธรรมของชีวิตไม่ใช่หรือที่ทำให้เราพบธรรมะดีๆของพระองค์ .