Welcome to my blogspot

ดาวน์โหลดบทความใหม่ (dwnld)...ร.๕ กับการเสด็จประพาสประเทศอินเดีย...ขอขอบคุณบทความดีๆที่มีให้เราๆได้อ่าน เสริมปัญญา เป็นอาหารสมอง และให้ความรู้ที่ดีที่สุด­เพราะกลั่นมาจากปัญญาแท้ๆ wel 2013 come / Happy new year

หยิบข่าวมาบอก:Breaking News

r

25 มิถุนายน 2552

ปฏิวัติสังคมอินเดียโดยพระพุทธเจ้าและ ดร.อัมเบดการ์



พุทธศาสนาโดยเนื้อแท้เป็น "สัจจนิยม" โดยเชื่อหลักเหตุและผล และสะท้อนความเป็นจริงเหมือนวิทยาศาสตร์ เหตุผลคือสามารถชี้หลักสมุฏฐาน (สมมุติฐาน) ของความทุกข์และหลักดำเนินชีวิตที่จริงได้ที่ไม่ให้เกิดทุกข์หรือเอาเปรียบซึ่งกันและกันในสังคม หลักการตรงนี้เองที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสังคมที่เลวกว่าไปสู่สังคมที่ดีกว่า คือ หลักสิทธิมนุษย์ชน ที่มีเสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ ในสังคมอินเดียโดยไม่ให้มีวรรณะนั้นเอง และยึดหลักประชาธิปไตย ในการดำรงชีวิตในการงานเป็นต้น

หลักของสหประชาชาติ กฏบัตรฺว่าด้วยเรื่องสิทธิมนุษย์ชน โดยถือว่ามนุษย์ทุกผ่า ทุกชั้น ทุกวรรณะ มีสิทธิเสรีภาพทางความคิดและการพูดอยู่ภายใต้กฏหมาย เท่าเทียมกันหมดทั่วโลก

สหรัฐอเมริกา คือต้นแบบสิทธิเสรีภาพในทุกๆด้านที่อยู่ภายใต้กรอบกติกาและกฏหมายสังคมในซีกยุโรปและในโลกปัจจุบัน และที่สำคัญคือหลักประชาะปไตยนั้นเอง


ดร.อัมเบดการ์ ผู้ปฏิวัติสังคมอินเดียโดยใช้หลักของพระพุทธศาสนา และได้รับการยอมรับให้เป็นประธานยกร่างรัฐธรรมนูญปกครองอินเดียฉบับแรก ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญฉบับเดียวของอินเดียที่ยังใช้อยู่ในปัจจุบัน ดร.อัมเบดการ์ ยังได้วิจัยสังคม ด้วยหลักการพระพุทธศาสนา ดังนี้ (อ้างอิงจาก น.ส.พ.มาตุภูมิรายวัน 17 ธ.ค.2527)

1.สังคมจะอยู่รอดได้ด้วยศีลธรรมเป็นหลัก และสามารถใช้ปกครองสังคมที่จำเป็นได้

2.ศาสนาของสังคม จะต้องกลมกลืนกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ไม่ขัดแย้งกับเหตุผล หรือที่เกิดจากการดลใจเหนือเหตุผล
3.จะต้องตั้งอยู่บนหลักการที่เป็นพื้นฐานเหกี่ยวกับเสรีภาพ สมภาพ และภราดรภาพ

4.จะไม่ทำให้เต็มไปด้วย ความยากจน เพื่อให้แน่ใจว่าการมีสมบัตินั้นจัดเป็นกุศลกรรม แต่การประกาศความยากจน เป็นความประเสริบในนั้นเอง จึงบิดเบียนหลักศาสนา และเป็นการบ่งถึงความชั่วร้าย และอาชญากรรมที่เคราะห์ร้ายนำมาให้นั้น จะมีอยู่ต่อไปเป็นนิจกาล

ดร.อัมเบดการ์ ได้ให้ข้อสรุปว่า สิ่งจำเป็นสี่ประการ สำหรับสังคมสมัยนี้จะหาได้ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น ฉะนั้นพระพุทธศาสนาจึงจำเป็นกับทุกคนในโลกใหม่ ที่มนุษย์ทั่วโลกจะต้องสร้างขึ้นมา


คำคม ดร.อัมเบดการ์

"อินเดียเป็นดินแดนแห่งความเหลื่อมล้ำต่ำสูง สังคมฮินดูนั้นช่างสูงส่งประดุจหอคอยอันสูงตระหง่าน มีหลายชั้นหลายตอน แต่ไม่มีบันไดหรือช่องทาง ที่จะเข้าไปสู่หอคอยอันนั้นได้ คนที่อยู่ในหอคอยนั้นไม่มีโอกาสที่จะลงมาได้ และจะติดต่อกับคนในหอคอยเดียวกันในอีกชั้นหนึ่งก็ทำไม่ได้ ใครเกิดในชั้นใดก็ตายในชั้นนั้น" เขาได้กล่าวถึงว่า สังคมฮินดูมีส่วนประกอบอยู่สามประการ คือ พราหมณ์ มิใช่พราหมณ์ และอธิศูทร พราหมณ์ผู้สอนศาสนามักกล่าวว่า พระเจ้ามีอยู่ในทุกหนแห่ง ถ้าเช่นนั้น พระเจ้าก็ต้องมีอยู่ในอธิศูทร แต่พราหมณ์กลับรังเกียจคนอธิศูทร เห็นเป็นตัวราคี นั่นแสดงว่าเขากำลังเห็นพระเจ้าเป็นตัวราคีใช่หรือไม่"

สรุป ดังนั้นชาวพุทธอินเดียจึงนับถือ ดร.อัมเบดการ์ เป็นสรณะคือสวดว่า พิมพัง สรนัง คัจฉามิ จนถึงเดียวนี้ เขาจะกราบไหว้ ดร.อัมเบดการ์มาก เพราะความศรัทธาในจิตใจดังที่กล่าวมาแล้วนั้น.

11 มิถุนายน 2552

ทฤษฎีวิวัฒนาการของพระพุทธศาสนากับชารลส์ ดาร์วิน Charles Drawin


ในอัญญสูตร สารคำตอบของพระพุทธเจ้า ทรงกล่าวว่า คนก็คือคน เกิดจากมารดา (นางพราหมณี) มิใช่เกิดจากพรหม คนเลว คนดี อยู่ที่การกระทำ มิใช่วรรณะ ธรรมะเท่านั้นประเสริฐที่สุดในหมู่ชน ทั้งปัจจุบันและอนาคต ทรงกล่าวกับสามเณร 2 รูปที่เป็นลูกของพราหม ที่เลื่อมใสมาบวช คือ สามเณรวาเสฏฐและสามเณรภารทวาช พระพุทธเจ้าทรงกล่าวการกำเนิด
จักรวาล โลก มนุษย์ ไว้ดังนี้


1.)วิวัฒนาการของโลก แนวพระพุทธศาสนา
อ้างอิง(พระครูปลัดสุวัฒนพรหมคุณ ปัจจุบันเป็นพระสุธีวรญาณ .ณรงค์ จิตฺตโสภโณ 2535 พระพุทธศาสนาและปรัชญา)

1. โลกดับ เกิด อาภัสสรพรหม ล่องลอยในจักรวาล เป็นมนุษย์ในกาลต่อมา
2. โลกเย็น เกิด มีน้ำ มีมืด มีแสงสว่าง เกิดง้วนดิน สัตว์กินง้วนดิน

เกิดกิเลส ตัญหา ร่างกายแข็ง รัศมีในตัวหายไป พระจันทร์ พระอาทิตย์ ปรากฏขึ้น มี วัน เดือน ปี ฤดูกาล ง้วนดินดุจรวงผึ่ง มีสัตว์ ต้นไม้ที่เกิดต้นแรกคือต้นบัว และเกิดแผ่นดิน
หลังจากที่แผ่นดินได้เกิดขึ้นแล้ว ได้มีพรหมพวกหนึ่งจุติลงมาเกิดเป็นมนุษย์ โดยเป็นพรหมที่หมดบุญ หรือสิ้นอายุจากชั้นอาภัสสราพรหม การเกิดมาเป็นมนุษย์ในยุคแรกนี้ เป็นการเกิดเองโดยไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ เกิดแล้วมาก็โตเต็มวัยเลย มนุษย์ในยุแรกไม่มี เพศ มีแสง อิ่มทิพย์ ซึ่งการเกิดชนิดนี้เรียกว่า เกิดแบบโอปปาติกะ จึงมีการเกิดขึ้น 4 อย่างคือ

การเกิดของสิ่งมีชีวิตในภพภูมิต่าง ๆ มีด้วยกัน 4 วิธี เรียกว่า กำเนิด 4 คือ อ้างอิง(พระไตรปิฏก)

(1. สังเสทชะกำเนิด คือ เกิดในเถ้า ไคล เห็ด การเกิดของจุรินทรีย์ เชื้อโรคต่าง ๆ
(2. โอปปาติกะกำเนิด คือ การเกิดที่ไม่ต้องอาศัยครรถ์ โตเต็มวัยเลย ได้แก่ มนุษย์ สัตว์ ต้นไม้ ในยุคแรก ปัจจุบันไม่มีแล้ว แต่จะมีใหม่เมื่อจักรวาลและโลกแตกดับ จะมีโอปปะติกะเกิดใหม่

(3. อัณฑชะกำเนิด คือ การเกิดในฟองไข่ เช่น พวก ไก่ นก จรเข้ ปลา ฯลฯ
(4. ชลาพุชะกำเนิด คือ การเกิดในครรภ์ เช่น มนุษย์ในปัจจุบัน และสัตว์ต่างๆ


ต่อมาเมื่อมนุษย์มีกิเลส ตัณหา จึงทำให้แสงหมดไป เพราะกินง้วนดินเข้าไป ง้วนดินมีรสชาติอร่อย ต่อมาเกิดความมืด เมื่อความมืดปกคลุม มนุษย์พากันตกใจ สุริเทพบุตรพร้อมด้วยดวงอาทิตย์จึงเกิดขึ้นมาขับไล่ความมืด มีดวงจันทร์ มีเพศหญิง เพศชาย เพ่งดูกันจนกำหนัดแล้วปรารถนาในกาม นำไปสู่การเสพสม (เสพอสัทธรรม) มีการสร้างบ้าน เกิดการกักตุนข้าวสาลี เพราะดินง้วนได้หมดไปเป็นดินหยาบ สัตว์โลกในยุคแรกเกิดแบบโอปปาติกะ คือเกิดขึ้นมาแล้วโตเลย ไม่ใช่ค่อยๆงอกจากเมล็ด แบบมีเมล็ดเพาะปลูกเกิดมีทีหลังที่เราเห็นกันในปัจจุบัน สัตว์ที่เกิดเป็นชนิดแรกของโลกคือ ม้ากับช้าง เป็นสัตว์ชั้นสูง และสัตว์อื่นตามมาเช่น หมู หมา กา ไก่

ที่กล่าวถึงเกี่ยวกับวิวัฒนาการต่างๆ ของมนุษย์นี้กล่าวถึงเฉพาะการเกิดบนโลกที่เราอาศัยอยู่ ซึ่งเรียกกันว่า ชมพูทวีป นอกจากโลกที่เราอยู่ ยังมีมนุษย์เกิดในโลกหรือทวีปอื่นอีก ๓ ทวีป คืออุตตรกุรุทวีป ปุพพวิเทหทวีป และอปรโคยานทวีป โดยที่แต่เดิมนั้น อายุขัยของมนุษย์ที่อยู่ในทุกทวีปจะยาวนานมาก ยาวเป็นอสงขัยปีดังที่กล่าวแล้ว ครั้นเมื่กิเลสในตัวมนุษย์มากขึ้น ทำให้สิ่งแวดล้อมในโลกเลวร้ายลง ทั้งนี้เป็นเพราะบุญที่จะมารองรับมนุษย์น้อยลง ประกอบการเกิดจากการกระทำของมนุษย์เอง ทำให้อายุมนุษยน์สั้นลงตามลำดับ

มนุษย์ในอุตตรกุรุทวีป จะอายุขัยลดลงจนถึง ๑๐๐๐ ปีแล้วจะคงที่ มนุษย์ที่อยู๋ในปุพพวิเทหทวีป อายุขัยลดลงถึง ๗๐๐ ปี แล้วคงที่ และมนุษย์ที่อยู่ในอปรโคยานทวีป อายุขัยจะลดลงเหลือ ๕๐๐ ปีแล้วคงที่ ส่วนมนุษย์ในชมพูทวีปจะมีอายุลดลงไปถึง ๑๐ ปี แล้วอายุจึงเพิ่มขึ้นตามลำดับ จนกระทั่ง อสงขัยปี แล้วก็ลดลงมาอีก เป็นเช่นนี้เรื่อยไป

ในแต่ละจักรวาลจะมีทวีป ๔ ทวีปนี้ เหมือนกันทุกจักรวาล และในทวีปต่าง ๆ ที่อยู่ในจักรวาลทั้งหลาย ก็จะมีอายุขัยเช่นนี้ มนุษย์ในทวีปทั้ง ๓ คือ อุตตรกุรุทวีป ปุพพวิเทหทวีป และ อปรโคยานทวีป จะมีศีล ๕ เป็นปกติ ทุกคนจึงชีวิตที่สงบสุข แต่อย่างไรก็ตาม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะมาบังเกิดขึ้นเฉพาะในชมพูทวีปเท่านั้น อ้างอิง (พระไตรปิฏก)

เมื่อระดับน้ำลดลงมาถึงระดับพื้นดิน ระดับน้ำเริ่มคงที่ไม่ลดลงไปอีก เมื่อน้ำนิ่งจึงเกิดการรวมตัวกันเป็นตะกอนลอยอยู่เหนือผิวน้ำ ซึ่งตะกอนนี้เกิดจากการรวมตัวของธาตุหยาบ (การเกิดขึ้นของภพพรหมและสวรรค์เป็นการรวมตัวของธาตุละเอียดไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตามนุษย์)ตะกอนที่รวมตัวและลอยอยู่เหนือน้ำนี้ คล้ายกับการลอยของใบบัวที่อยู่เหนือน้ำคือลอยอยู่ได้โดยไม่จม มีสีเหลืองรสหวาน และมีกลิ่นหอม (เรียกว่า ง้วนดิน) ซึ่งต่อมาคือแผ่นดินที่รองรับสิ่งต่าง ๆ โดยตะกอนที่เกิดขึ้นมาก่อนเรียกว่า ศีรษะแผ่นดิน พระแม่ธรณีของมนุษย์โลก อ้างอิง (http://dou_beta.tripod.com/GL101_04_th.html)

การเกิดแผ่นดินขึ้นมาเป็นครั้งแรกในโลก ผู้เขียนวิเคราะห์ได้ว่าหลังจากฝนตกน้ำท่วมเต็มจักรวาลต่างๆทั่วทั้งท้องจักรวาลจนเกิดเป็นแผ่นดินของโลกที่เราอยู่กันนี้ ได้มีนักวิทยาศาสตร์ของโลกคือองค์การนาซ่า (NASA)ได้พยายามสำรวจดวงจันทร์ และดาวอังคาร พบว่าดาวทั้งสองเคยมีน้ำโดยพบหลักฐานร่องรอยล่องน้ำและหินลักษณะเคยโดนน้ำกัดเซาะ ขอยกคำอ้างจาก"ดร.เคนเนธ เอดเจตต์ นักวิทยาศาสตร์แห่งสถาบัน อวกาศวิทยามาลิน" กล่าวว่า จากการศึกษาภาพถ่ายดาวอังคารล่าสุดจำนวนมาก พบร่องรอยว่ามีน้ำไหลผ่านพื้นผิวของดาวอังคารเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ซึ่งสภาพแวดล้อมดังกล่าวอาจมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ดร.เอดเจตต์ชี้ว่า เมื่อเทียบภาพถ่ายล่าสุดกับที่ถ่ายไว้เมื่อ 5 ปีก่อน พบว่ามีทางน้ำไหล 2 สายซึ่งบ่งชี้ว่ามีน้ำไหลผ่านทางน้ำทั้ง 2 นั้นอย่างน้อยที่สุดในระยะ 7 ปีที่ผ่านมา ซึ่งหลักฐานภาพถ่ายดังกล่าวได้ถูกนำลงตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์แล้ว นี้ไงตรงจุดนี้ตรงกับพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ว่าเกิดฝนตกจนน้ำท่วมจักรวาล จนน้ำลดจึงเกิดแผ่นดิน แสดงว่าน้ำเคยท่วมดาวอังคาร และดวงจันทร์แต่การวิวัฒนาการของดาวอังคารและดวงจันทร์ไปในทางแห้งแล้งไปสามารถรักษาน้ำไว้ได้ สิ่งมีชีวิตเกิดได้ยาก ยกเว้นโลกของเราที่พอน้ำท่วมและระดับน้ำลดและรักษาน้ำไว้ได้ จึงเกิดแผ่นดิน เกิดมนุษย์ เกิดต้นไม้ เกิดสัตว์ ที่เกิดมาแบบโอปปาติกะ คือเกิดมาเองโดยไม่ต้องอาศัยครรภ์ในช่วงแรก เกิดมาแล้วโตทันทีเพราะอะไร วิเคราะห์อีกได้ว่าสภาพบรรยากาศอากาศในโลกครั้งแรกเต็มไปด้วยแร่ธาตุอาหารที่เอื้อต่อต่อการเจริญเติบโต แม้เพียงแค่สูดหายใจเข้าไป สามารถทำให้ร่างกายมนุษย์ ต้นไม้ สัตว์ เจริญเติบโตขึ้นมาเอง จนมนุษย์ลองกินง้วนดินในครั้ง นั้น ง้วนดินมีรสชาติอร่อย คิดง่ายๆว่าผู้เขียนเองเคยเดินทางไป ดารัมศาลา (Dharasala) หรือที่เรียกว่า ธรรมศาลา ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นที่ประทับของลาไลลามะและเป็นที่ตั้งของรัฐบาลทิเบตพลัดถิ่น ตอนไปเป็นฤดูหนาวมีหิมะหรือน้ำแข็งปกคลุมภูเขา เดินขึ้นไปอากาศเบาบางมากทำให้เหนื่อยเร็ว แต่คนธิเบตเดินกันเฉยเลยแสดงว่าคุ้นเคยกับบรรยากาศแล้ว แต่เราไม่เคนชินจึงเหนื่อย พอชินแล้วจะไม่เหนื่อยเลย สังเกตุตัวเองว่า สัมพัสกับบรรยากาศที่บริสุทธิ์จริง เวลาหายใจเข้าไปรู้สึกสดชื้นมาก พอตกกลางคืนความสดชื้นทำให้เราไม่ง่วงนอน แสดงว่าร่างกายปรับสภาพไปตามสภาพอากาศที่ได้สูดหายใจเข้าไป ท่านสามารถลองปฏิบัติดูได้ ต่อมาสภาพอากาศเปลี่ยนหรือวิวัฒนาการไปจึงทำให้อากาศไม่บริสุทธิ์ ยิ่งในปัจจุบันอากาศที่เราสูดหายใจเข้าไปมีแต่ ควันพิษรถ ควันพิษจากโรงงานและจิปะถะต่างๆนา เป็นอากาศที่ไม่บริสุทธิ์ จึงทำให้ร่างกายได้โทษเกิดโรคทางลมหายใจ เช่นแพ้อากาศ เป็นต้น ฉะนั้นเราจึงต้องแก้ไขโดนด่วนก่อนที่เราจะทำลายตัวเราเองและทำลายโลก และพระพุทธเจ้ายังรู้อีกว่ายังมีมนุษย์ในโลกอื่นอีกหลังจากน้ำท่วมจักรวาล เป็นวิวัฒนาการการมีชีวิตของสรรพสัตว์ต่างๆในโลกนั้นๆ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์พยายามค้นหามนุษย์ต่างดาวกันอยู่มีการลงทุนที่สูงมากๆๆ

2.)วิวัฒนาการทฤษฎีวิวัฒนาของ ชารลส์ ดาร์วิน (Charles Dawin ค.ศ. 1809-1882)

What is Evolution Development ?
Any process of formation or growth; continu ous process from unorganized simplicity to organized complexity.

ในศตวรรษที่ 19 เกิดหลักการที่มีอิทธิพลต่อวงการศาสนา วิทยาศาสตร์ ปรัชญาเป็นอย่างมาก เราเรียกว่าทฤษฎีวิวัฒนาการ ( Evolution) ซึ่งมีหลักการว่าองค์อวัยวะต่างๆของสิ่งมีชีวิตได้เจริญเติบโตมาเนื่องมาจากปฏิบัติทางธรรมชาติเป็นเหตุ จากรูปแบบง่ายๆ ในระยะแรก และต่อมาไม่มีชาติพันธ์ใดคงสภาพเดิมอยู่ได้ โดยไม่แปรเปลี่ยนซึ่งเข้ากับหลักอนัตตา ของพระพุทธเจ้า คือเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา หรือหลักวิวัฒนาการของพระพุทธเจ้าที่กล่าวอธิบายมาข้างต้น นักปรัชญายอมรับในความเป็นไปได้ของทฤษฎีนี้ ตัวอย่างเช่น เฮแรคลิตุล กล่าวว่า ความเจริญและความเปลี่ยนแปลงสถิตอยู่ในระบบหรือกระบวนการของจักรวาล นักคิดอีกคน คือ ลูคริตุล ยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดในจักวาลมีรากฐานที่ระบอบปรมาณูและแรงผลักดันที่มีเหตุจากธรรมชาติ
ในศตวรรษที่ 18 นักวิทยาศาสตร์ ได้สรุปตรงกันว่าสัตว์ชนิดต่างๆอาจมีต้นกำเนิดมาแหล่งเดียวกันและสิ่งแวดล้อมได้มีผลทำให้สัตว์ต่างๆเหล่านั้นแตกต่างกันออกไป และมีคนพิสูจน์เรื่ององค์ประกอบและมิใช่องค์ประกอบที่มีผลจากธรรมชาติ ในหนังสือ Principles of Geology แสดงว่าก่อตัวขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปโดยตัวแทนธรรมชาติ และในปี ค.ศ. 1802 ( พ.ศ. 2345) จีน แบบตีส เดอร์ ลามาร์ค ( ค.ศ. 1744-1829) ยืนยันว่าทุกอวัยวะ มีแนวโน้มที่จะสร้างอวัยวะใหม่ เพื่อปรับตนเองให้เข้ากับปัจจัยทางธรรมชาติที่เปลี่ยนไปด้วยการพัฒนา คือการเปลี่ยนแปลงรูปร่างนั้นเอง และต่อมาผู้ให้เกิดความฮือฮามากที่สุดคือนักวิทยาศาสตร์ ชือ

ชารลส์ ดาร์วิน ( Charles Dawin ค.ศ. 1809-1882) ดาร์วินได้สรุปหลังสังเกตุเป็นเวลาหลายปี โดยศึกษาจากกระดูก ซึ่งรวบรวมได้จากการเดินทาง บิแองเกิล โดยอาศัยชายฝั่งอเมริกาใต้และทะเลใต้ เขาได้แรงบันดาลใจจากหนังสือ 2 เล่มคือ
1. Principles of Geology by Lyell
2. Essay on Population by Robert Malthus
ซึ่งถือว่า ความเปลี่ยนแปลงทุกอย่างมาจากธรรมชาติ Natural Causes และการขยายตัวของประชากรมนุษย์และการผลิตอาหารไม่พอเพียงมีผลต่อธรรมชาติทั้งปวง
ดาร์วิน ได้เขียนหนังสือชื่อว่า


On the origin of species by means of Natural selection, or the Preservation of Favorced Races in the Struggle for Life.
(การศึกษากำเนิดมนุษย์โดยสะสมโครงกระดูกตามธรรมชาติ หรือการรักษาชาติพันธ์ด้วยการต่อสู้เพื่อชีวิตคงอยู่)

และในปี 1871 ดาร์วินได้ตีพิมพ์เรื่อง The Descent of Man and Selection in Relation to sex.
ซึ่งได้ความคิดให้เป็นระบบและประยุกต์กฏ (law)แห่งโครงกระดูกมาใช้กับมนุษย์ เขาได้แสดงความคิดเห็นไม่ตรงกับคนอื่น สรุปได้ว่า บรรพบุรุษของมนุษย์น่าจะเป็นสัตว์คล้ายๆลิง เมื่อเปรียบเทียบกับกระดูกของอุรังอุตัง คอริลล่า อย่างไม่สะทกสะท้านว่า แม้มนุษย์จะประเสริฐอย่างไรก็ตาม แต่เมื่อวิเคราะห์ลึกๆ ลงไปถึงความเปลี่ยนแปลงและกฏของระบบสุริยะจักรวาลแล้ว มนุษย์ก็ยังคงมีร่างกายคลายกับบรรพชนซึ่งเป็นต้นกำเนิในระยะแรก ดาร์วินมองว่ามนุษย์ก็คือสัตว์สปีชีส์หนึ่ง มากกว่าที่จะคิดว่าเป็นสิ่งมีชีวิตสุดประเสริฐ ที่เกิดจากการสร้างสรรค์ของ..... อย่างที่ผู้คนส่วนใหญ่ในสมัยนั้นเชื่อถือกัน

สมมุติฐานของดาร์วิน 3 ประการ

1. พืช และสัตว์ มีบรรพบุรุษมาแต่เดิมที่สืบทอดกันมา

2. วิวัฒนาการเกิดจากทางเลือกธรรมชาติ คือสร้างคนรุ่นใหม่ให้สมบูรณ์กว่าเดิม เพื่อการดำรงอยู่ได้ คือการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม ความเหมาะสมจะถ่ายทอดผ่านทางช่วงอายุ

3. ความแตกต่างในชาติพันธ์เกิดจากทางเลือกในด้านสืบพันธ์ด้วย (Sexual election) อ้างอิง (พระครูปลัดสุวัฒนพรหมคุณ ปัจจุบันเป็นพระสุธีวรญาณ .ณรงค์ จิตฺตโสภโณ 2535 พระพุทธศาสนาและปรัชญา)


3.)วิวัฒนาการของพระพุทธเจ้าและของดาร์วินมีความเหมือนและแตกต่างกันดังนี้

1.พระพุทธเจ้ากล่าวถึงวิวัฒนาการของระบบสุริยะจักรวาล โลก และมนุษย์ ว่าโลกที่เราอยู่เรียกว่าชมพูทวีป มีทั้งหมด 4 ทวีป แต่ชารลส์ ดาร์วินกล่าวได้แต่เพียงว่ามนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากสัตว์ คือลิง และไม่ได้กล่าวถึงจักรวาล ที่มาของดาร์วินยังคลุมเคลือไม่ชัดเจน เพราะวิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้ ได้แต่สันนิฐาน

2.พระพุทธเจ้าพระพุทธเจ้ารู้ว่าสรรพสัตว์ที่มีในโลกครั้งแรกเกิดมาจากโอปาติกะ เกิดมาโดยไม่ต้องอาศัยครรภ์ และต่อมามีที่มาจากการกำเนิด 4 แต่ชารลส์ ดาร์วิน ไม่รู้ว่ามนุษย์เกิดมาจากไหน

3.ทั้งพระพุทธเจ้าและดาร์วินกล่าวว่าทฤษฎีวิวัฒนาการตามธรรมชาติของมนุษย์เป็นไปตามขั้นตอน ตามเหตุปัจจัย ตามการเปลี่ยนแปลงของโลก มนุษย์เป็นผู้สร้างด้วยการกระทำเอง คือเลือกกระทำเลือกเป็นได้ กล่าวง่ายๆว่า ดาร์วินว่า
สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดแตกสายวิวัฒนาการมาจากบรรพบุรุษร่วมกัน หรือที่เรียกว่า "ทรี ออฟ ไลฟ์" (tree of life) ซึ่งปัจจุบันถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของศาสตร์ด้านชีววิทยา และก่อให้เกิดการศึกษาค้นคว้า และการค้นพบสิ่งใหม่ในทางวิทยาศาสตร์มากมายตามมาในภายหลัง ซึ่งตรงกับของพระพุทธเจ้าว่าสิ่งมีชีวิตในโลกนี้ล้วนเกิดมาในครั้งแรก เกิดมาจาก โอปปะติกะ คือเกิดขึ้นมาเองโดยไม่ต้องอาศัยครรภ์ ไม่ต้องอาศัยน้ำเชื้อ ต่อมาจึงวิวัฒนาการเป็นการตั้งครรถ์ การเกิดแบบโอปปาติกะ จึงหายไป แต่ถ้าเมื่อไรจักรวาลเกิดแตกดับและเกิดขึ้น การเกิดแบบโอปปาติกะจะเกิดอีกครั้งเพื่อคืนชีวิต ตามผลของกรรม

4.ทั้งพระพุทธเจ้าและชารลส์ ดาร์วิน กล่าวว่าในเริ่มแรกมนุษย์มีความเป็นอยู่แบบง่ายๆ ไม่ซับซ้อน ( Unorganized simplicity) ต่อมาได้ขยายตัวเป็นสังคมสลับซะับซ้อนมากขึ้น ( Organizwd complexity)

5.ศาสตร์หรือพระสูตรเกี่ยวข้องกับความดีและศีลธรรมเพื่อให้การดำรงชีวิตสมบูรณ์ปราศจากสัญชาติญาณของสัตว์ ส่วนทฤษฎีของชารลส์ ดาร์วิน ไม่เกี่ยวข้องกับความดีและไม่หนีสัญชาติญาณของสัตว์

6.เรื่องวิวัฒนาการของจักรวาล และโลก มนุษย์ พระพุทธเจ้าทรงกล่าวมาเป็นระยะเวลา 2550 กว่าปี แต่ทฤษฎีวิวัฒนาการของ ชารลส์ ดาร์วิน กล่าวเพียงวิวัฒนาการของคน เป็นระยะเวลาแค่ 200 ปี.

สรุป ได้ว่าทษฤฏีวิวัฒนาการต่างๆของจักรวาลและโลก ของพระพุทธศาสนาก้าวล่วงมา 2500 กว่าปี ที่สามารถเป็นไปได้จริงมากที่สุด หลักการวิวัฒนาการของพระพุทธศาสนา จึงเป็นมากกว่าวิทยาศาสตร์ แต่เป็นวิทยาศาสตร์ก่อนมีวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน แต่ของชารลส์ ดาร์วิน หรือของนักวิทยาศาสตร์อื่นยังคิดไม่ได้ว่ามนุษย์มาจากไหน เพียงแต่เชื่อตามทษฤฎีของดาร์วินว่าคนมาจากลิง ซึ่งวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามนุษย์มาจากไหน แต่พระพุทธเจ้ารู้และยังกล่าวอีกว่าความหยาบต่างๆจะทำให้มนุษย์มีผิวพรรณ อารมณ์ หรืออาหาร ที่เรารับประทานทจะหยาบขึ้นไปอีก
มนุษย์จะวิวัฒนาการไปทางดีหรือไม่ดี อยู่ที่เราดูแลโลกของเราดีเพียงใด อย่างไร วิธีไหน ผู้เขียนขอยกย่องในพระปัญญาของพระพุทธเจ้าว่าเป็นนักปรัชญาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มวลมนุษย์ชาติที่มีมา 2500กว่าปี . (วิเคราห์บางส่วนมาจากตัวเอง โปรดใช้วิจารณาญาณ คือไม่ต้องเชื่อตามก็ได้เป็นเป็นแค่การวิเคราะห์)