ในการเดินทางไปประเทศอินเดียหลวงพี่ได้เดินทางสู่ประเทศอินเดียมาแล้วทั้งหมด 4 ครั้ง และในวันที่ 24 สิงหาคมได้เดินทางไปกับหมู่คณะนักศึกษาปริญญาเอก มหาวิทยาลัยมคธ ประเทศอินเดีย ได้พร้อมกันที่ สนามบินสุวรรณาภูมิ เดินทางด้วยสายการบิน jet Airway ไปลง Kolkata แล้วต่อด้วยรถที่มารับที่สนามบิน Kolkata ไปถึง Bodh-Gaya เวลา เกือบ 2 ทุ่ม รถได้พาคณะเข้าไปยังวัดไทยมคธ เพื่อพำนักที่วัด ตลอดเวลาที่อยู่เพื่อสอบกัน ได้รับการต้อนรับจากคณะพระ-แม่ชี ลูกศิษย์เป็นอย่างดี ทุกคนเดูแล้วเหนื่อยมากกับการนั่งรถ 10 ชั่วโมง ทุกคนเข้าห้องพักที่ทางวัดได้จัดไว้ ส่วนหลวงพี่ได้พักร่วมกับเจ้าอธิการปรีชา เจ้าอาวาสและเจ้าคณะตำบลแม่เมาะเขต 2 จังหวัดลำปาง ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกันที่ไปสอบด้วยกันและมีคุณหมอหรือนายแพทย์ มีปลัด มีท่านรองศาสตรจารย์มหาวิทยาลัยนเรศวร จังหวัดพิษณุโลกเป็นต้น หลวงพี่ไม่รอช้ารีบเข้าห้อง ทำธุระกิจส่วนตัวทันที สดชื่น ส่วนท่านเจ้าอธิการปรีชา ได้เสร็จธุระกิจส่วนตัวแล้วให้ท่านนำสวดมนต์ไหว้พระที่ห้อง พอไหว้พระเสร็จก็นั่งคุยกันสักพัก รู้สึกง่วงนอนมาก จึงได้เวลานอน นอนยาวไปเลย ก่อนอื่นขอพูดถึง Asian (เอเชียตะวันตกเฉียงใต้) ในแถบเอเชีย เมื่อคิดแล้ว ทุกชาติล้วนแต่มีภาษาและคำพูดเป็นของตนเองแทบทั้งสิ้น เริ่มต้นตั้งแต่ประเทศไทย มีภาษาไทย เลขไทย ภาษาพูด ที่มีเอกลักษณ์มากที่สุดชาติหนึ่ง เพราะอะไรวิเคราะห์ได้ว่า ในแถบประเทศใกล้ประเทศไทย มีประเทศลาว ประเทศพม่า ประเทศเวียดนาม ประเทศมาเลเชีย ประเทศจีน ประเทศสิงค์โปร ประเทศอินเดีย ประเทศศรีลังกา ประเทศญี่ปุ่น ประเทศเกาหลีใต้ ที่กล่าวมานี้ ทุกชาติล้วนมีภาษาพูด ภาษาเขียน ของตนเองเช่นกัน แต่ของจีนจะเหมือนกับญี่ปุ่นและเกาหลีใต้และของสิงค์โปร์ในด้านภาษาเขียน และภาษาเขียนของอินเดียจะเหมือนกับศรีลังกา เนปาล ดังนี้เป็นต้น ที่ดูจะต่างจากชาติอื่นมากที่สุดก็คือประเทศไทย ไม่มีประเทศไหนเหมือนประเทศไทยเลยสักประเทศเดียวในแถบเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ หรือทั่วทั้งโลกก็ว่าได้ ที่จริงคนไทยเป็นชาติที่ฉลาดมากชาติหนึ่งเลยที่เดียว เพียงแต่ว่าการกำหนดทิศทางความเป็นเลิศปลูกฝังชาตินิยมของรัฐบาลยังไม่แน่นอนเด่นชัดเท่านั้นเองในอดีตที่ผ่านมา ไปยกย่องวัฒนธรรมต่างชาติมากเกิน ปล่อยให้วัฒนธรรมต่างชาติใหลเข้ามายังไทยได้ง่ายแต่ไม่เป็นไรหรอกตรงนี้ แต่การรับกันผิดๆๆนั้นแหละอันตราย ที่ทำให้หลงลืมความเป็นไทย อันนี้ต้องเน้นหน่อย ผู้ใหญ่นั้นแหละตัวการสำคัญในอดีตที่ไปฟุ่งเฟ้อกับของนอกสร้างค่านิยมของนอกให้เกิด ขึ้น.... จริงหรือไม่ ตรงนี้ช่วยตอบหน่อย.. ทั้งรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ ทีวี ตู้เย็น ที่ใช้กันอยู่ของญี่ปุ่นทั้งนั้นแต่ทำในจีน ยี่ห่อเมดอินไทยแลนด์ ไม่มีเลย ในตลาดประเทศไทย เพราะผู้ใหญ่ในอดีตไม่สร้างค่านิยมและไม่สร้างแบรนแนมให้กับประเทศตัวเองเหมือนดูถูกตนเอง เพราะตาโตเมื่อเห็นเงินที่หยิบยื่นให้และเป็นการทำร้ายประเทศไทยทั้งๆไปศึกษาดูงานต่างประเทศกันบ่อยมาก หมดงบประมาณจากภาษีประชาชนไปดูงานต่างประเทศจำนวนหลายพันล้านที่ผ่นมา แต่ไม่ได้เอาสิ่งดีๆมาพัฒนาประเทศไทยเลย ไปเที่ยวกันมากกว่า ด้วยต้องเขียนหนักๆเพราะต้องการให้สำนึกกันซะบ้าง เพราะหน้าที่พระที่เป็นบุคคลสาธารณะที่ต้องเทศน์ต้องอบรมสั่งสอน และให้ปัญญาตามเจตนารมณ์ของพระพุทธเจ้า มากกว่าด้านไสยศาสตร์ ส่วนแถบตะวันตกไม่ต้องพูดถึงภาษาอังกฤษแถบทั้งสิ้น จะต่างการพูดบ้างและการเขียนบ้างในแถบบางประเทศทั้งในซีกยุโรป หลวงพี่คิดว่าภาษาไทยมีเอกลักษณ์และสวยงามมากที่สุดชาติหนึ่ง และภาษาไทยถ้าเรียนเจาะลึกกันจริงๆยากมาก หลวงพี่เชื่อว่าเรื่องความฉลาดหลักแหลมประเทศไทยไม่เป็นรองชาติไหนทั้งสิ้น ที่นี้กลับมาเรื่องประเทศอินเดีย ตอนที่อยู่ที่สนามบินสุวรรณภูมิพวกสาวๆไทยแผนก Check in ของสายการบิน Jet Airway ได้รวมเงินถวายหลวงพี่ แม้โชคดีตั้งแต่ก่อนเดินทาง ที่นี้พอได้เวลาขึ้นเครื่อง สาวแอร์โฮลเตสเธอเป็นคนอินเดียเธอบอกว่าเธอเป็นชาวพุทธเธอให้อีเมล์ไว้ให้ด้วยเพราะเธออยากเรียนธรรมะและการปฏิบัติธรรม
สาวแอร์ Jet.
คณะที่ไปด้วยกัน ที่สนามบินKolkata.
ทุกคนที่ไปด้วยกันเดินทางไปสอบ ดร. และได้เป็น ดร. กันทุกคน ทุกคนเริ่มเช้าวันใหม่ด้วยบรรยากาศที่ดีไม่ร้อนมีฝนตกด้วย ทุกคนรับประทานอาหารเช้าเสร็จจึงได้เดินเดินทางไปนมัสการสถานที่ตรัสรู้ และวัดญี่ป่น ตามเจตนารมณ์ที่ตั้งไว้แต่ไทกคนไม่ลืมการสอบ เพราะทุกคนวันสอบไม่ตรงกัน ของหลวงพี่สอบวันที่ 26 สิงหา 52 ภายในวันสอบมีทหารถือปืนเข้ามาในมหาวิทยาลัยด้วยถามได้ความว่ามาดูแลการสอบของนักศึกษาไทย และอารักขาคุมกันผู้ใหญ่ท่านหนึ่งคืออธิการบดี คือผู้ว่าการรัฐพิหารที่ท่านมาตรวจเยี่ยมมหาวิทยาลัยมคธ ผู้ว่าการรัฐจะเป็นอธิการบดีโดยตำแหน่ง ดังรูป
ทหารอินเดียถือปืนมาดูแลเรื่องการต่างๆและคุมกันผู้ใหญ่ในมหาวิทยาลัยมคธ (เดี๋ยวใครสอบไม่ได้ใส้แตก ล้อเล่นนะ).
วันที่สอบเสร็จหลวงพี่รู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก และได้ไปสวดมนต์ที่ตรัสรู้ใต้ต้นโพธิ์เพื่อระลึกถึงพระพุทธองค์ 3 ครั้ง หรือ 3 วัน ดูๆจะน้อยไปด้วยซ้ำ เพราะติดภาระเรื่องการสอบ เรื่องการสอบทุกคนผ่านไปด้วยดีทุกคน หลวงพี่สอบเสร็จรับเล่มดุษฎีนิพนธ์จาก หัวหน้าคณะวิชาหรือ Head นั้นเอง
สอบเสร็จรับเล่มจาก Dr. Sushil Kumar Singh ใหญ่ในมหาวิทยาลัยมคธ ท่านเซ็นทุกเรื่องยกเว้นใบปริญญาเอกที่จะต้องออกจากรัฐบาลจากส่วนกลาง ที่จะต้องมีรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาและอธิการบดี และท่าน S.K. Singh ด้วย .
อีก 4 เดือนคือปีหน้าปี 2553 หรือ ปี 2010 ถึงจะได้ใบรับรองและรอไปอีกกี่เดือนไม่รู้ในปี 2010 ถึงจะได้รับใบปริญญาบัตร และได้ไปถ่ายรูปกับคณะต่างๆสักหน่อย
ต้องเล่าเรื่องข้ามๆไปบ้างเพราะถ้าจะให้เล่าความเต็มๆยาวเป็นหางว่าวแน่นอนนี้เอาแบบย่อที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเนื้อหาที่เป็นประโยชน์แน่นอนและใช้ความจำมาเขียนกันสดๆ ไม่ได้จดเลย ที่นี้ที่มหาวิทยาลัยมคธมีนักศึกษาทั้งชาวเวียดนาม และพม่า และหลวงพี่เลยโชว์วิสัยทัศน์ให้พระนักศึกษาปริญญาโทชาวพม่าซะเลย หัวเราะก๊ากกันทั้งห้องเรียน พูดอะไรหว่า ไม่รู้เรื่อง ฮิฮิ
ภาพข้างบนกำลังโชว์วิสัยทัศน์ต่อหน้าพระพม่านักศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาลัยมคธ.
เอาละสนุกพอสมควรแล้ว ที่นี้ได้ไปสวดมนต์ไหว้พระกันที่สถานที่ตรัสรู้พอเข้าไปรอบๆเจดีย์และใต้ต้นโพธิ์พอเข้าไปรู้สึกได้ว่าเย็นมากพอเข้าไปคือข้างนอกจะร้อนน่าดูแต่พอเข้าไปใกล้รอบเจดีย์หรือใต้ต้นโพธิ์ และได้ไปชมวัดญี่ปุ่น
สวดมนต์ไหว้พระเสร็จกลับที่วัดไทยมคธ ฉันเพลและรับประทานอาหาร หลังสอบเสร็จแล้วได้ทำบุญให้กับตัวเองโดยการแจกทานแก่เด็กชาวพุทธ ดังรูปข้างล่าง.
พอแจกทานเสร
็จแล้วได้ไปไหว้พระที่พุทธสถานอีกรอบ แต่ในวันที่ 28 สิงหาคม หลวงพี่ได้ไปจองตั๋วรถไฟเพื่อเดินทางไปมุมไป(Mumbai)เพื่อพบกับ Prof Dr. Harichandan ซึ่งท่านเป็นไกค์ให้หลวงพี่และเป็นหัวหน้าการจัดการศึกษาทางไกล ที่ มหาวิทยาลัยมุมไบ และตอนนี้ท่านได้เป็นศาสตรจารย์แล้ว จึงเก็บรูปใบจองรถไฟและตั๋วมาให้ดูด้วย ดังรูปตั๋วรถไฟที่หลวงพี่จองชั้น First Class ราคา 2,928 รูปี รถไฟอินเดียใหญ่มากขบวนยาวเกือบ 1 กิโลเมตร และวิ่งเร็ว ต้องเตรียมตัวกันก่อนเวลาเป็นชั่วโมงกว่าจะหาตู้เจอ ส่วนรถไฟไทยเล็ก ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง เพราะความเก่ามาก แถมตรงหน้าต่างที่เป็นกระจกเอาอะไรเล็กๆมาแปะไว้ตรงกระจกทำให้การมองไปภายนอก ไม่สามารถเห็นชัดเจน ซึ่งทำให้หงุดหงิด.
ตอนอยู่ที่สถานีรถไฟหลวงพี่ได้พบกับเด็กยากไร้คนหนึ่ง ที่เห็นครั้งแรกหลวงพี่รู้สึกถึงความปราถนาดีต่อเด็กคนนี้เป็นอย่างมาก ตอนนนั้นคิดว่าอยากอุปการะเป็นลูกบุตรบุญธรรมเป็น ด้วยดวงตาที่ใสซื่อของเธอที่ไร้เรียงสา ใสซื่อบริสุทธิ์ เธอไม่ได้เข้ามาขอเงินหลวงพี่เลย แต่เธอกับมองยืนหลวงพี่ด้วยดวงตาที่ใสซื่อบริสุทธิ์โหยหาแสงสว่างของชีวิต ใจตัวเองบอกกับตนเองตอนนั้นว่า ตัวเราไม่ใช่คนที่ลำบากหรือทุกข์ที่สุดแล้ว แต่เด็กหญิงเธอคนนี้ลำบากกว่าเราเป็นร้อยเท่า เพราะเธอต้องยืนต่อสู้กับเสือ สิงห์ กระทิง แรด ด้วยตัวเธอเองและที่สำคัญเป็นเด็กผู้หญิงด้วยเธอจะต้องพบกับแต่พวก เสือ สิงห์ กระทิง แรด(คนเลวจำพวกต่างๆ) มากมายในสังคมของเธอ ทั้ง ความลำบากกับความทุกข์ที่เธอไม่อาจจะรู้ได้ในวันข้างหน้ามันแสนสาหัสนัก กับเด็กผู้หญิงเช่นเธอ แต่ด้วยสถานภาพทางการเงินของหลวงพี่ยังไม่สามารถเลี้ยงเธอเป็นบุตรบุญธรรมได้ หลวงพี่ได้แต่เสียใจในใจคนเดียว ว่าวันนี้เราไม่พร้อม นี้ถ้าพร้อมนะจะรับเธอเป็นลูกบุญธรม แล้วส่งเธอเข้าเรียนโรงเรียนกินนอนที่อินเดียนั้นแหละ เพื่อให้เธอพพ้นทุกข์ ในวันข้างหน้าเราต้องช่วยเหลือเด็กเช่นนี้ให้พ้นทุกข์ให้ได้ แล้วในใจก็บอกกับตัวเองว่าเราได้ครูสอนใจคนใหม่แล้ว เธอเป็นครูสอนใจเรา ให้ต่อสู้พจญกับภัยขวางหนาม เธอเป็นครูหลวงพี่ที่อายุน้อยที่สุด และหลวงพี่เชื่อว่าเธอไม่มีโอกาสไปทำร้ายใคร ให้เดือดร้อน หรือตกทุกข์แน่นอน นี้คือความดีของเธอไง ดังรูป
ด้วยดวงตาที่ใสซื่อบริสุทธิ์ของเด็กน้อยที่น่ารัก ที่เธอจะต้องอยู่ท่าม กลางภัยต่างๆ เธอไม่เคยรู้แม้ว่าโลกข้างนอกเป็นอย่างไร แต่เธอเป็นครูของหลวงพี่แล้ว.
ในเช้าของวันที่ของวันที่ 29 สิงหาคม หลังหลวงพี่ได้ไหว้พระเสร็จจึงได้ไปที่สถานีรถไฟอีกครั้งเพื่อไปหาครูคนใหม่ของหลวงพี่ คือเด็กผู้หญิงในรูปข้างบนนั้นเอง แต่ไปแล้วไม่เจอกับเธอ หลวงพี่เดินหาดูหาเธอเพื่อจะมอบเงินนิดหน่อยให้เธอแต่ไม่พบกับเธอ ก่อนที่หลวงพี่จะจากไปจากเมืองกายา (Gaya) หลวงพี่เลยให้ช่างขัดรองเท้าขัดรองเท้าและเย็บรองเท้าไปเลย แล้วก็กวาดสายตาไปรอบๆเพื่อมองหาครูคนใหม่ของหลวงพี่ แต่ไม่พบเธอแล้ว ก่อนกลับวัดไทยมคธ ดังรูป
รองเท้าจากเมืองไทยแต่คนที่ได้เย็บรองเท้ากับเป็นคนอินเดีย.
ยังอยู่ที่ Gaya ที่จริงแล้ววันที่ 25 ส.ค. 52 คณะของพวกเราได้เข้าไปยังเมืองกายา เพื่อเดินสำรวจตัวเมืองกายา ดูวิถีชีวิตของคนในกายา ในเมืองกายามีคนมาก มีวัว และเพาะ เยอะมาก ซึ่งวิถีชีวิตของคนอินเดียในเมืองกายา ก็ไม่ต่างจากชีวิตคนอินเดียในที่อื่น มีการค้าขาย จำพวกผลไม้ พืชผักเป็นส่วนมาก อาหารก็เหมือนกันทั้งอินเดีย รสชาติ พอกินได้ แต่คนที่ไม่คุ้นจะกินไม่ได้ จะต้องพึ่งอาหารไทยที่วัดไทยที่แม่ชี ช่วยกันทำ แต่ก็มีบ้างที่ทดลองกิน และต้องกิน โดยเฉพาะ จ๋าย คือ นมวัวต้มผสมด้วยชา ดื่มร้อนๆได้รสชาติดี สมัยที่พระอาจารย์ไปอยู่บ้านไกค์ที่มหาวิทยาลัยมุมไบ ภรรยาของไกค์ของหลวงพี่ คือ Prof Dr. Harichandan ซึ่งภรรยาท่านเป็นอาจารย์อยู่มหาวิทยาลัยผู้หญิง ที่มุมไบ (S N DT WOMEN·S UNIVERSITY) ทำอาหารอินเดียได้อร่อยดี สะอาด กว่าขายตามตลาด โดยเฉพาะผัดเผ็ดไก่ ทำได้อร่อยดี และท่านมีลูกผู้ชายด้วย เป็นหลานของหลวงพี่เองมีหลานเป็นคนอินเดียด้วยนะ ที่นี้เก็บรูปภาพในเมืองกายามาเพื่อเป็นที่รำลึก ดังรูป
รูปภาพข้างบนจากเมืองกายาและถ่ายรูปกับพระพิฆเนศวร ของอินเดียแท้ ซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์แห่งศิลปะอีกด้วย.
ยังไม่หมดพวกเราจำนวนหนึ่งได้เช่ารถไปยังบ้านนางสุชาดา และแม่น้ำเนรัชราด้วย ทริปนี้จึงเต็มไปด้วยการศึกษาอารยะธรรมโบราญสมัยพระพุทธเจ้า ดังรูป
ด้านซ้ายสุดเป็น รศ. ดร. มหาวิทยาลัยนเรศวร พิษณุโลก และขวาสุดคือ ดร.ปลัดเมืองเลย.
รูปด้านบน ชมบ้านนางสุชาดา และแม่นำเนรัชรา.
ยังมีอีกที่ๆน่าสนใจใน Bodh-Gaya ที่ใกล้กับสถานที่ตรัสรู้ อยู่ใกล้กับแม่น้ำเนรัชรา ซึ่งดูจากภายนอกแล้วน่าจะเป็นวัดของพุทธศาสนามาก่อน หลวงพี่คิดอยู่ในใจตอนนั้น ก่อนที่นักบวชชาวฮินดู จะมายึดไป เป็นวัดที่เก่ามากๆๆ ความคิดที่คิดไว้คิดไว้ไม่ผิดเมื่อเข้าไปข้างในปรากฏว่ามีพระพุทธรูปเก่าจำนวนมากที่ถูกเอาออกมาวางไว้ตามกำแพงภายใน ซึ่งน่าโมโหมาก หลวงพี่คิดในใจว่านี้ถ้าไม่ใช่บุญของเราไม่มีสิทธิ์ได้มาพบแน่นอนเพราะมาด้วยความบังเอิญคือ พี่ปลัดเค้าโทรไปหาคนอินเดียให้มารับหลวงพี่ไปถ่ายรูปหน่อย เค้าก็มารับหลวงพี่ ที่นี้หลวงพี่พอถ่ายรูปแล้วต้องรอ เลยให้คนอินเดียพาไปชมสถานที่ต่างๆพรางๆไปก่อน หลวงพี่ไปเตาะตาตรงซอกที่มีตึกเก่า คนอินเดียบอกว่าเป็นวัดฮินดู แต่พอไปเห็นเหมือนวัดของพุทธ ที่ข้างในมีนักบวชชาวฮินดูยึดครองไว้ และได้นำพระพุทธรูปสมัยโบราญมาวางกองไว้กับพื้น ซึ่งนักบวชชาวฮินดู ซึ่งดูจากสีหน้ามีความวิตกเช่นกันที่เรามาเห็นในลักษณะเช่นนี้ เค้าห้ามถ่ายภาพแต่หลวงพี่ให้คนอินเดียที่พาหลวงพี่มา พูดว่าขอถ่ายเก็บไว้เป็นที่ระลึก เค้าไม่อะไรเลยได้ภาพพระพุทธรูปเก่าๆสมัยน่าจะพระเจ้าอโศกมหาราชโน้นเลย เป็นการคาดคะเน ของหลวงพี่เอง ปรากฏรูปดังนี้
ถ้าเป็นไปได้อยากให้องค์กรพุทธนานาชาติ ไปขอมารักษาเก็บไว้ศึกษาก่อนจะไม่มีไว้ให้ศึกษา อาจจะโดนทำลายไปก่อน.
เอาละที่นี้รถไฟที่หลวงพี่จองไว้ สรุปแล้วคือเราให้รถมารับแต่ตี 3 ครึ่ง ไปถึงสถานีรถไฟ ตี 4 กว่า โดยมีท่าน ดร.ปลัดอำเภอเลย ดร.ใหม่ และ ดร.พระปรีชาส่งที่สถานีรถไฟ เพราะรถไฟออก ตี 5 ครึ่ง แต่รถไฟมาสายเกือบ 6 โมงเช้า เป็นรถไฟที่มาจากสถานีอื่น ไม่ใช่ต้นทาง หลวงพี่กับท่าน ดร. รองศาสตราจารย์ ดร.ใหม่ รุ่นเดียวกับหลวงพี่ เดินไปถามในระหว่างรถไฟไม่มา แต่พอเดินกลับมา ไปยังไม่ถึง 10 นาที เดินกลับมารถไฟที่จะไปมุมไบ กำลังเคลื่อนตัวออกจากสถานีรถไฟกายา ไปอย่างช้าๆ ที่นี้หลวงพี่ยังไม่ทันหาตู้รถไฟของเราเลย เพราะขบวนยาวมากเราไม่รู้ว่าตู้ไหนเป็นของเรา รถไฟค่อยๆเคลื่อนตัวออกไปและเร็วในที่สุด จนเจ้าหน้าที่รถไฟบอกว่าตู้นี้ของเราก็สายไปเสียแล้ว เพราะรถไฟออกตัวเร็วขึ้น ขึ้นไม่ทัน ตกรถไฟอดไปมุมไบ แต่ยังดีที่เจ้าหน้าที่รถไฟ เอาตั๋วของหลวงพี่ไปเขียนเพื่อขอเงินคืน ได้เงินคืนมา 2,900 รูปี ซึ่งหักไปแค่ 28 รูปี ไม่น่าเชื่อเลยเราตกรถไฟเองจะได้เงินคืนมาตั้ง 2,900 รูปี เอารูปมาให้ดูด้วย
รูปที่สถานีรถไฟเมืองกายา และตั๋วที่ได้การรับรองการไม่ได้ไปจากเจ้าหน้ารถไฟ ก่อนที่จะไปยื่นที่เคาเตอร์ 6 เพื่อคืนเงิน.
ที่นี้ไปได้ไปมุมไปก็ไม่เป็นไร หลวงพี่ก็อยู่ต่อที่ Bodh-Gaya หรือที่วัดไทยมคธต่อไปเพื่อรอเดินทางกลับไป Kolkata เพื่อกลับเมืองไทย ที่นี้ไปที่มหาวิทยาลมคธ วันนั้นคนยังไม่เยอะมาก ได้ไปเห็นส้วมแปลกของผู้หญิงที่ยังใช่อยู่ เลยถ่ายรูปมาเก็บไว้เพราะแปลกดี เลยได้ถ่ายรูปส้วมในห้องน้ำที่ห้องที่วัดมาด้วยเพื่อให้ได้ดูกันเรื่องส้วมนี้ไม่ใช่เรื่องน่าที่น่ารังเกียจ อะไรเพราะเราต้องใช้ทุกวัน ถึงขนาดมีวันส้วมโลกที่ประเทศอินเดียเคยเป็นเจ้าภาพมาแล้ว มาดูกันส้วมแปลกของอินเดีย
ส้วมนี้เป็นของสตรี only (Women only)เป็นส้วมรูปร่างแปลกเก่าแต่เป็นระบบน้ำกดด้วย อยู่ในมหาวิทยาลัยมคธ ตึกหอสมุด.
อันนี้มีใช้ทั่วไป.
อันนี้มีใช้ที่ห้องพักที่วัดและที่ตามบ้านหรือโรงแรม.
เป็นอ่างล้างหน้าที่มีทรงแปลกๆ ที่ห้องนอนที่วัดไทย.
วันต่อมาหลังจากไม่ได้ไปมุมไบ ได้อยู่ที่วัดกับคณะจนถึงวันที่ 29 สิงหาคม 52 จึงได้ติดต่อรถให้มารับเพื่อกลับไปยังสนามบิน Kolkata เพื่อกลับไทย หลวงพี่ก็กลับไปด้วยกับคณะ ไปถึงสนามบิน Kolkata เวลา 6 โมงเช้ากว่า ทุกคนลงจากรถแล้วจ่ายค่ารถกันเป็นรถเหมามา 2 คัน ทุกคนเดินเข้าไปในแอร์พอต Air port กันหมดทุกคน หลวงพี่สุดท้าเลย ตำรวจเฝ้าหน้าประตูขอดู passpot และตั๋ว หลวงพี่ส่งให้ดู แต่ตำรวจบอกว่าในตั๋วระบุวันกลับวันที่ 5 กันยายน 09 ตำรวจไม่ให้หลวงพี่เข้าไป หลวงพี่บอกว่าจะกลับไทยและเข้าไปเปลี่ยนตั๋วคือเลื่อนวันกลับที่บริษัทการบินแจ๊สแอร์เวย์ ข้างในสนามบิน แต่ตำรวจไม่ยอมต้องให้เราไปเปลี่ยนวันกลับมาเป็นวันที่ 30 กันยายน 09 ก่อน ทำอย่างไรได้จะไปเปลี่ยนทันได้อย่างไรเพราะ Jet Airway ที่ Kolkata ไม่รู้อยู่ที่ไหน จะโทรกลับมาเมืองไทยก็ไม่ใช่เวลาทำงาน ท่าน ดร. รศ. และ ดร.ปลัดมาช่วยเคลียไม่สำเร็จและแนะนำว่าไม่เป็นไร ไปพักที่ Buddhis Temble Bengal เป็นวัดของชาวพุทธของอินเดีย หลวงพี่เลยไปที่วัดดังกล่าว เป็นวัดพุทธที่มีพระไทยที่พาราณาสี หรือที่มคธ จะมาพักเพื่อรอกลับเมืองไทย หรือแม้แต่คนไทยอื่น และชาวอินเดียซึ่งเป็นชาวพุทธหรือนานาชาติมาพัก หลวงพี่ได้พักอยู่ห้องเบอร์ 4 ติดกับห้องเบอร์ 5 ซึ่งมีพระไทยมาเช่าอยู่ 2 รูปจากพาราณาสี ท่านมาติดต่อธุระ ไม่ได้กลับไทย ถือว่าโชคดีที่เจอพระไทยมาเช่าอยู่ก่อนแล้ว เลยได้คุยกันถามว่าไปรับประทานอาหารที่ไหน แลกเงินที่ไหน Jet Airway office อยู่ที่ไหน Jet ตั้งอยู่ถนน park Street เรียบร้อยได้ข้อมูลครบครัน ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เลยได้พักที่ Kolkata ตั้ง 5 คืน ได้ไปชม วิคตอเรีย ที่ทำด้วยหินอ่อนทั้งหลัง โรงเรียนและสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน และอื่นๆ ขอบอกว่าที่ Kolkata ร้อนมากๆ
วัดเบงกอล ที่ Kolkata รูปด้านบน.
วัดคริสจักร ใน Kolkata .
รูปด้านบนเป็นสถานีรถไฟใต้ดินที่ Kolkata.
ที่วิตตอเรีย (Victoria Memorial Hall) ที่ Kolkata.
ภายในวิคตอเรียจะมีรูปภาพเก่าๆ สมัยอังกฤษปกครอง และหนังสือเก่าๆ พร้อมรูปปั้นเก่าๆ ตามภาพข้างบน.
เด็กๆอินเดียยืนให้ถ่ายรูป.
ที่นี้จะเล่าเรื่องด้วยภาพแล้วนะ เอาไว้เขียนสรุปทีเดียว รูปภาพทั้งหมดสามารถเล่าเรื่องแทนเราได้นะ รูปภาพทั้งหมดข่างล่างนี้เป็นรูปที่ถ่ายที่ Kolkata และที่สถานีรถไฟ HOWRAH ฝังตรงข้ามกับ Kolkata เป็นสถานีรถไฟที่ใหญ่ตึกสวย แต่หลวงพี่นั่งรถเมล์ประจำทางเข้าไปข้างในคนละเรื่องเลยสภาพบ้านเรือนเก่ามาก ไม่เหมือนที่ Kolkata และได้ถ่ายรูปพริกที่เผ็ดที่สุดที่ส่งมาจากรัฐอัสสัม ของอินเดียมาไว้ดูด้วย และมีมะข้ามป้อมด้วยเม็ดใหญ่แต่พอลองกินไม่ค่อยเปรี้ยวมากออกจืดๆ เพราะมันยังไม่ใช่น่าที่จริงของมันหน้าจริงๆฤดูหนาว อันนี้น่าจะเป็นการเก็บไว้ได้โดยมีวิธีเก็บ ตอนข้ามไปฝั่งเฮาร่า ต้องนั่งเรือข้ามไป นั่งเรือไปได้เก็บภาพจากขณะข้ามเรือแฟรี่มาด้วย และเจอวนิพกพเนจรด้วยบนเรือ และได้รูปดีมากเก็บไว้ด้วยและด้วยความบังเอิญหลวงพี่ได้ไปพบกับแผงเหรียญเก่าคือเงินเก่าๆและเหรียญเก่าของอินเดีย มีอยู่ร้านเดียวจริงๆเป็นหญิงชราที่นั่งขายอยู่หญิงชราขายเองเป็นเจ้าของเอง หลวงพี่เลยไปยืนดู และไปเจอเหรียญรูปพระพุทธเจ้าอยู่เหรียญหนึ่ง มีเหรียญเดียว และเหรียญรูปเทพเจ้าต่าง หลวงพี่เลยบูชามาเก็บไว้ทั้งหมด 5 เหรียญ และอีกเหรียญหนึ่งเช่าจากเด็กที่มาปล่อยให้หญิงเจ้าของร้านแต่หยิงชราไม่เอาหลวงพี่เลยขอเช่ามาแทน เป็นสมบัติของแผ่นดินไทยต่อไป ดังจะให้ดูรูปให้รูปเล่าเรื่องแทนหลวงพี่
เป็นพระอินเดียที่วัดที่หลวงพี่ไปพักท่านจบจาก มหาวิทยาลัยมคธ เช่นเดียวกับหลวงพี่ มีโรงเรียนในวัดด้วย นักเรียนกำลังสวดระลึกถึงพระพุทธเจ้า เป็นโรงเรียนวิธีพุทธแบบ Engligh Class ได้ศึกษาดูงานโรงเรียนไปในตัวด้วย ดีมาก ใครที่อยากไปดูงานโรงเรียนวิธีพุทธจริงๆ ไปดูได้ที่นี้สอนด้วยภาษาอังกฤษซะด้วย.
เป็นเหรียญสร้างเมื่อปี 1818 หลวงพี่นำกับมาเมืองไทยเป็นสมบัติของแผ่นดินไทย.
พริกจากมานิปูเผ็ดมาก.
รูปด้านล่างนี้เป็นป้ายของมหาวิทยาลัยมานิปู สิกขิม วิทยาเขตเฮาร่า.
รูปด้านล่างนี้เด็กข้างถนนกำลังเขียนรูปเป็นศิลปะบนถนน.
เด็กกำลังเล่นที่สนามหญ้าในวิคตอเรีย แต่เด็กผู้หญิงใส่เสื้อสีชมพู ด้านหลังเดินมาถามชื่อหลวงพี่ ด้วยคำถาม What's your mane? เธอตั้งใจเดินเข้ามาคุยกัหลวงพี่ เธอมากับพ่อแม่เธอไม่เคยเห็นหลวงพี่มั้ง แต่เธอยิ้มตลอดแสดงถึงความนับถือหลวงพี่.
กลับประเทศไทยแล้วในวันที่ 4 ,09 ,09 รูปภาพข้างล่างถ่ายตอนนั่งรถไปสนามบิน.
ที่ Kolkata ยังมีรถไฟฟ้ารางด้วยเป็นตัวเลือกสำหรับโดยสาร เป็นของเก่า สมัยอังกฤษไปสถานที่ต่างๆ หลวงพี่ได้นั่งด้วย เมืองไทยของเราเคยมีรถไฟรางที่วิ่งในเมืองด้วย สร้างสมัยรัชกาลที่ 5 ถ้าจำไม่ผิด ทุกวันนี้ที่กรุงเทพยังมีรางรถไฟรางให้เห็นอยู่ทุกวันนี้แถวเยาวราช แต่เดียวนี้ไม่มีแล้ว เพราะรัฐบาลสมัยต่อมาวิสัยทัศน์ไม่ถึงมองไม่ออก ว่าควรอนุรักษ์ไว้ เก็บไว้เป็นตัวเลือกในการโดยสารไปสถานที่ต่างๆ น่าเสียดาย กับความคิดตื้นๆของรัฐบาลสมัยนั้นเสียจริง นี้บ้านเราถ้ามีรัฐบาลเก่งๆจริงเมืองไทยของเราพัฒนาไปนานแล้ว แต่เก่งก็คงมีแต่เก่งด้านคำพูดไม่เก่งทำ ที่จริงคนไทยเก่งๆดีๆมีเยอะ แต่ไม่มีโอกาส เพราะอุปสรรคต่างๆ ที่ไปเจอแต่พวกเห็นแก่เงินมากกว่าเห็นแก่ประเทศไทยและคนไทยส่วนรวม รูปรถไฟฟ้ารางที่ Kolkata ที่ยังใช้อยู่ถึงปัจจุบัน 100 กว่าปี แล้ว
รูปด้านล่างเป็นตึก ตาต้า TATA ที่นำรถมาขายในไทย คนอินเดียเรียก ตาต้า แต่คนไทยที่เมืองไทยกับโฆษณาเรียกว่า ทาทา แปลกแต่จริง.
ความหมายของชีวิตและจุดมุ่งหมายสูงสุดของชีวิต ไม่ได้อยู่ที่ปริญญาเอก แต่อยู่ที่การเป็นมนุษย์ที่ดีที่สมบูรณ์ของสังคมต่างหาก ที่หลวงพี่ต้องการเป็น .
สรุป ความหมายของชีวิตหรือจุดหมายสูงสุดของหลวงพี่ไม่ใช่อยู่ที่ปริญญาเอก วุฒิการศึกษาที่ได้มาเป็นไปตามกระบวนการด้านการศึกษา แต่จุดมุ่งหมายของชีวิตของหลวงพี่อยู่ที่การเป็นมนุษย์ที่ดีที่สมบูรณ์ ไม่ว่าหลวงพี่จะจบปริญญาเอก จากประเทศไหนก็ตามก็ยังไม่ใช่จุดมุ่งหมายสูงสุดสูงสุดของหลวงพี่ แต่การอยู่แบบไม่เบียดเบียนคนอื่น ไม่ให้ทุกข์คนอื่น ไม่กล่าวร้ายคนอื่นที่เป็นเท็จ ไม่ข่มเหงคนอื่น มีมิตรไมตรีต่อกันและที่ต่างจากสัตว์มากกว่า และอยู่ที่การที่เป็นมนุษย์ที่ดีที่สมบูรณ์ของสังคมต่างหาก ที่หลวงพี่ต้องการ และป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของชีวิตของหลวงพี่ แม้มีความรู้แต่ไม่มีคุณธรรมย่อมเลวร้ายมาก อยากเห็นสังคมไทยมีแต่สิ่งดี เพราะปริญญาเอกเป็นเครื่องมือประกอบอาชีพเท่านั้น มันไม่ได้ไปกับเราด้วยเวลาตาย แต่ความดีความชั่วเท่านั้นที่ติดตามตัวเราไป ปริญญาเอกไม่สามารถทำให้ตัวเราเหาะได้หรือวิเศษกว่าคนอื่น ยังคงต้องกินข้าวราดแกงอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ได้รับคำชื่นชมจากบุคคลต่างๆเท่านั้น แต่เราจะข้ามพ้นได้ก็คือการทำดี ตามหลักธรรมะ เป็นคนที่ดีของสังคม ทำให้ประเทศเจริญ นั้นแหละที่วิเศษสุด การเดินทางไปประเทศอินเดีย ได้ไปตามหนังสือของมหาวิทยาลัยมคธ เชิญไป Viva- Voce ที่มหาวิทยาลัย โดยที่เราเลือกวัน-เดือน ไม่ได้ และการที่ขึ้นต้นว่าอินเดียเมืองแห่งความเร้าใจ คือ อินเดียประสบความสำเร็จทุกอย่าง ไม่ว่าด้าน IT (ไอที หรือด้านซอฟแวร์) ด้านธุรกิจที่เติบโตขึ้นอย่างมาก ด้านหนังหรือ(BOLLYWOOD)ที่มีหลายเรื่องที่ดังไปทั่วโลกในสมัยก่อนคนไทยเราติดหนังอินเดียง่อมเลยทางโทรทัศน์ แต่ทุกวันนี้ทางโทรทัศน์หรือทีวีไม่มีหนังอินเดียมาให้ชมเลย แต่มีคนไทยเขียนเรื่องราวประเทศอินเดียออกมาเป็นหนังสือขายกันเต็มไปหมดเลยในแผงหนังสือ (ในวงสนธนาของ เหล่า ดร.ใหม่ที่แสดงความคิดเห็นตรงกัน) ทุกวันนี้มีแต่หนังที่หลอกเด็ก หนังเย้ายวนมอมเมาให้เด็กใจแตกชอบนำมาเสนอให้ชมทางทีวี เช่นหนังฝรั่งมีหลายเกรดแต่ที่นำมาให้ชมเป็นหนังแนวไม่ค่อยได้เรื่อง หนังเกาหลีใต้แนวรัก หนังจีนแนวเก่าๆ หนังญี่ปุ่นพอใช้ได้ มีเท่านี้แหละที่นำออกมาให้ผู้ชมทางบ้านได้ชม ยิ่งของทีวีเสรี หรือ ไทยพีบีเอส แล้ว มีแต่หนังของเกาหลีและจีน เท่านั้นที่นำมาให้ชมกัน หนังไทยทุกวันนี้ไร้สาระไม่มีข้อคิดแถมน้ำเน่าอีกต่างหากและทลึงทะเล้น และอินเดียยังประสบความสำเร็จหลายเรื่องเช่นส่งยานอวกาศขึ้นไปนอกโลก หรือไม่ก็ด้านยานยนต์ ยี่ห้อ TATA และด้านยา (Medicine) ไทยยังต้องนำเข้าจากอินเดีย และอินเดียยังสามารถผลิตเรือดำน้ำได้สำเร็จอีกด้วย เป็นต้น และที่ว่าเมืองแห่งสัจจะธรรมของชีวิต คือจะได้พบชีวิตที่หลากหลาย พระพุทธเจ้าพบกับหลักสัจจะธรรมของชีวิตไม่ใช่หรือที่ทำให้เราพบธรรมะดีๆของพระองค์ .
1 ความคิดเห็น:
ทริปนี้ท่าทางสนุกมากเลยนะคะ ยังไงก็ขอแสดงความยินดีด้วยกับความสำเร็จ ^_^
แสดงความคิดเห็น