Welcome to my blogspot

ดาวน์โหลดบทความใหม่ (dwnld)...ร.๕ กับการเสด็จประพาสประเทศอินเดีย...ขอขอบคุณบทความดีๆที่มีให้เราๆได้อ่าน เสริมปัญญา เป็นอาหารสมอง และให้ความรู้ที่ดีที่สุด­เพราะกลั่นมาจากปัญญาแท้ๆ wel 2013 come / Happy new year

หยิบข่าวมาบอก:Breaking News

r

24 พฤศจิกายน 2552

มองอินเดียเพื่อนบ้านเรือนเคียง ค้นหาให้ดีมีดีให้เราแน่ ตอนกังหันลมผลิตไฟฟ้า

คนอินเดียในรัฐ TAMIL NADU มีความภูมิใจในกังหันลมผลิตไฟฟ้่าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

รูปภาพกังหันผลิตไฟฟ้าจากลม ในรัฐ TAMIL NADU

รูปภาพกังหันลมผลิตไฟฟ้าในรัฐ TAMIL NADU


ขณะนี้บ้านเรากำลังถกเถียงกันเรื่องการสร้างโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ ( Nuclear power generation) จะสร้างหรือไม่สร้าง เพราะชาวบ้านประท้วง เพราะผลที่ตามมาคือมลพิษและสารพิษ ที่อาจรั่วไหล เหมือนอเมริกาที่รั่วไหล จนเป็นอันตราย แต่ขณะเดียวกันที่ประเทศอินเดียหันมาใช้พลังงานชีวมวล เพื่อรักษาโลกร้อนและลดการปล่อยมลพิษทางอากาศเพิ่มมากขึ้น โดยหันมาใช้พลังลม โดยใช้กังหันพลังงานลมเพื่อผลิตไฟฟ้า ในรัฐ TAMIL NADU เมือง Nagercoil มีการใช้กังหันพลังงานลมเพื่อผลิตใช้ไฟฟ้า และในรัฐอื่นอีก อินเดียยังมีแผนการต้องการใช้พลังงานที่บริสุทธิ์ให้ได้ 100 % เพื่อลดโลกร้อนและลดก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse gas (GHG) และอินเดียยังเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมที่ใหญ่ที่สุดของเอเชียอีกด้วย (India now boasts of Asia's biggest wind farm (298 MW) at Satara in Maharashtra.) (อ้างอิง Praful Bidwai,Frontline India's National Magazine,Volume 21- Issue 22,Oct.23-Nov.05,2004) ซึ่งการผลิตไฟฟ้าจากกังหันลมสามารถผลิตไฟฟ้าได้พอๆกับพลังงานไฟฟ้านิวเคลียร์ ( Nuclear power generation) และสะอาดกว่า และ การใช้พลังงานจากดวงอาทิตย์ และจากน้ำ มาผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้ทั่วไปแม้แต่ในอุตสาหกรรมหรือเชิงพาณิชย์ และครัวเรือน ในชนบท หรือในเมือง ซึ่งการใช้กังหันลมเพื่อผลิตไฟฟ้า เพื่อเป็นเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมีความสำคัญอย่างมากในปัจจุบัน คนอินเดียได้เห็นกังหันลมผลิตไฟฟ้าแล้วและได้ใช้พลังงานไฟฟ้าจากกังหันลมซึ่งเป็นแบบเดียวกับ แคลิฟอร์เนีย (Californi) เดนมาร์ก (Denmark) และ เยอรมนี (Germany) แต่บ้านเรายังคุยกันเรื่องผลิตไฟฟ้าจากโรงงานนิวเคลียร์ (Nuclear power generation) ที่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม บ้านเราช้าไปหน่อยไหม คนไทยเราไม่ได้เห็นพลังงานไฟฟ้าจากกังหันลมในประเทศไทยเลย แต่ถ้าอยากเห็นต้องไปเมืองนอกดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ที่จะรักษ์โลกและรักษาสิ่งแวดล้อม ในขณะที่คนทั้งโลก (Around the world) ขณะนี้ตระหนักถึงการลดปัญหาโลกร้อน (Greenhouse gas (GHG) หรือแค่เพียงเพื่อจะมุ่งสนองอุตสหกรรมและพาณิชย์ทั้งหลายเพียงอย่างเดียวหรือสนองกิเลสที่ผิดๆ สังคมและชาวบ้านเป็นเพียงแค่ข้ออ้างในการสร้างโรงงานไฟฟ้าพลังนิวเคลียร์เท่านั้นหรือ ทางเลือกในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานจากธรรมชาติหรือพลังงานชีวมวลจึงน่าจะเป็นตัวเลือกที่สำคัญที่สุดในปัจจุบันในเวลานี้ ซึ่งเป็นความจำเป็นในการใช้พลังงานหมุนเวียนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ( The renawable imperative)

พระพุทธเจ้ากับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

พระพุทธเจ้าทรงถือเป็นแบบอย่างในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมเลยทีเดียว เหตุผลคนต้องอาศัยธรรมชาติ ธรรมชาติเป็นต้นกำเนิดของสรรพสิ่งในโลก ศีล 5 คือหลักในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมที่พระพุทธเจ้าได้ให้เราไว้ปฏิบัติ ศีล 5 มีความหมายคือ
1. เว้นจากทำลายชีวิต
2. เว้นจากถือเอาของที่เขามิได้ให้
3. เว้นจากประพฤติผิดในกาม
4. เว้นจากพูดเท็จ
5. เว้นจากของเมา คือ สุราเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท

วิเคราะห์ได้ดังนี้

ข้อที่ 1 เว้นจากการทำลายชีวิต นั้นคือการไม่ทำลายชีวิตทั้งปวง นที่ไม่ให้ทำลาย มี คน สัตว์และธรรมชาติ รวมแล้วคือสิ่งแวดล้อมนั้นเอง

ข้อที่ 2 เว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เขาไม่ได้ให้ ต้นไม้ในป่าเป็นสิ่งที่โดนคุ้มครองจากกฏหมายของรัฐ ซึ่งบางพวกลักโขมยตัดต้นไม้เอาเลย ไม่ได้ขอ ข้อนี้ก็เป็นการอนุรักษสิ่งแวดล้อมเช่นเดียวกัน

ข้อที่ 3 เว้นจากประพฤติธรรมในกาม ข้อนี้ก็น่าจะเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมเช่นเดียวกัน เพราะคนก็คือส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อม การที่ฝ่ายหญิงไม่ยินยอมก็จะโดนทำลายถึงชีวิต การทำลายชีวิตหนึ่งลงไปก็คือทำลายสิ่งแวดล้อม

ข้อที่ 4 เว้นจาการพูดเท็จ การพูดเท็จก็เป็นการทำลายสิ่งแวดล้อมเหมือนกันได้ คือ เมื่อรู้เห็นว่ามีคนตัดป่าอยู่เรากับนิ่งเฉย หรือเรามีส่วนร่วม และไม่พูดความจริงแก่เจ้าหน้าที่รัฐเป็นต้น การไม่พูดเท็จเป็นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมได้เหมือนกัน

ข้อที่ 5 เว้นจากของเมา คือ สุราเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท เมื่อมาวิเคราะห์ดูแล้วก็คือเหล้านั้นเอง โรงงานเหล้ามีการผลิตในโรงงาน และมีการปล่อยน้ำเสียลงสู่แม่น้ำสาธารณะ ดังนั้นเหล้าจึงเป็นสาเหตุในการทำลายสิ่งแวดล้อมได้ ดังนั้นของเหล้าหรือสุรา จึงเป็นปัญหาอีกมิติหนึ่งเพราะคนเมาเหล้านั้นสามารถทำลายชีวิตคนและทำลายสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้ เพราะขาดสติ

ดังนั้นจะเห็นได้ว่ามีบทหนึ่งในพระไตรปิฏกที่พระพุทธเจ้าได้กล่าวเกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมใน เมืองมคธ ไว้ดังนี้

ราชกุมาร! เรานั้นเมื่อหลีกไปจากสำนักอุทกผู้รามบุตรแล้ว แสวงหาอยู่ว่าอะไรเป็นกุศล ค้นหาแต่สิ่งที่ประเสริฐฝ่ายสันติอันไม่มีอื่นยิ่งกว่า, เที่ยวจาริกไปตามลำดับหลายตำบลในมคธรัฐ จนบรรลุถึงตำบล อุรุเวลาเสนานิคม พักแรมอยู่ ณ ตำบลนั้น. ณ ที่นั้น เราได้พบภาคพื้นรมณียสถาน มีชัฏป่าเยือกเย็น แม่น้ำใสเย็นจืดสนิท มีท่าน้ำราบเรียบเป็นอันดีน่าเพลินใจ มีบ้านสำหรับโคจรตั้งอยู่โดยรอบ. ราชกุมาร! เราได้เห็นแล้ว เกิดความรู้สึกว่า "ภูมิภาคนี้น่ารื่นรมย์จริง ชัฏป่าเย็นเยือก แม่น้ำไหลใสเย็นจืดสนิท มีท่าน้ำราบเรียบเป็นอันดีน่าเพลินใจ ทั้งที่โคจรก็ตั้งอยู่โดยรอบ, ที่นี้สมควรเพื่อจะตั้งความเพียรของกุลบุตรผู้ต้องการด้วยความเพียร" ดังนี้. ราชกุมาร! เรานั่งพักอยู่ ณ ตำบลนั้นเอง ด้วยคิดว่าที่นี้สมควรแล้วเพื่อการตั้งความเพียร ดังนี้.

(อ้างอิงจากโพธิราชกุมารสูตร ราชวรรค มัชฌิมนิกาย ม. ม. 13/448/491)



19 พฤศจิกายน 2552

คำฮิตติดปากของเด็กๆ



ก่อนที่ครั้งหลวงพี่อยู่ที่วัดคูหาสุวรรณ จ.สุโขทัย กำลังศึกษาปริญญาโท หลวงพี่มีลูกศิษย์เป็นเด็กผู้ชายจะมาเดินตามคอยถือของให้หลวงพี่ทุกเช้า เป็นเด็กดีและน่ารักมากเลย หลวงพี่รักเป็นหลานๆ (แต่ปัจจุบันอยู่วัดอดุลแก้วมอดี ทุกเช้าหลวงพี่จะเดินบิณฑบาตรเข้าไปในมหาวิทยาลัยขอนแก่น ไป-กลับ 4 กิโลเมตร เหนื่อยมาก ไม่มีลูกศิษย์มาคอยช่วยบ้างเลย เดินอยู่รูปเดียวนี้แหละหลวงพี่หัวเดียวกระเทียมลีบจริงๆที่นี้ กิจนิมนต์ก็โดนพระ พรรษา 1-3 กัน เคยบอกเจ้าอาวาสแต่ไม่ได้รับการแก้ไข ) ความรู้มีอยู่แล้วจะอยู่เป็นพระเพื่อสืบทอดและช่วยพระศาสนาก็สบาย จะสึกไปก็มีความรู้เป็นปัญญาชนของสังคมและเผยแพร่พระศาสนาได้ ชีวิตนี้พลีให้พระพุทธศาสนาแล้วไม่ว่าจะสึกหรือจะอยู่ ขอขอบพระคุณพระพุทธศาสนาที่ทำให้หลวงพี่มีวันนี้ จะรักและกตัญญูต่อประเทศไทยและพระพุทธศาสนาตราบชั่วกาลนาน เอากลับมาดีกว่า พอเด็กเลิกเรียน จะมาเล่นกันอยู่แถววัดตอนเย็นๆกับเพื่อนของเขา มีอยู่วันหนึ่ง หลวงพี่เดินไปหาเพื่อจะใช้ไปซื้อน้ำอัดลมมาหนึ่งถุงแก้ร้อนกระหาย เด็กพูดกันระหว่างเพื่อนของเขาประโยคหนึ่งว่า "ตลาดโน้น..."พูดลากคำว่า โน้น ยาวๆหน่อย ฟังตอนแรกก็งงมันหมายถึงอะไร พอได้ฟังซ้ำๆที่เขาสื่อความหมายกัน ก็ถึงบางอ้อ เป็นคำที่ใช้แทนความหมายว่าไม่ได้ ทำนองนี้ ยกตัวอย่างเช่น เด็กพูดกับเพื่อนของเขาว่า มึ_ขี่จักรยานเอาลูกฟุตบอลไปเก็บไว้ที่บ้านตูหน่อยซิ เด็กคนที่โดนใช้จะพูดขึ้นมาว่า "ตลาดโน้น...." เป็นอันว่าเมื่อเด็กที่พูดขึ้นประโยคแรกที่วานเพื่อนให้ไปเก็บฟุตบอล ก็จะปั่นจักรยานไปเก็บเองเลย ถึงหรือยังเอ่ย ถึงบางอ้อหรือยัง ไหนให้คุณลองพูดซิ ตลาดโน้น....... พูดลากคำว่าโน้นให้ยาวๆ ฟังดูแล้วเป็นคำที่แสดงถึง พูดเล่นๆจริงๆนะ คุณสามารถเอาไปใช้กับเพื่อนๆได้เลยไม่มีลิขสิทธิ์ ยกตัวอย่างเช่น เวลาที่เพื่อนคุณมาขอยืมเงินของคุณ คุณก็พูดกลับไปว่า ตลาดโน้น....... ซึ่งหมายถึงไม่มีไม่ได้นั้นเอง !!!!! และอันนี้เล่าสู่กันฟังเฉยๆนะ สมัยตอนเด็กๆหลวงพี่เรียนประถม 5-6 นี้แหละตอนนั้น เพลงจิ๊บ ร.ด. กำลังดัง ตอนครั้งเดินไปโรงเรียนกับรุ่นพี่ตอนเช้า รุ่นพี่พูด ประโยคหนึ่งแซวเพื่อนคนหนึ่งที่นั่งรถไปเรียนว่า นางเอก ร.ด. เพื่อนก็ยิ้มนิดๆไม่ว่าอะไรนะ เราก็งงนะ ถามว่าพี่ๆ หมายถึงอะไรหรือ พี่ๆคนนั้นก็ตอบว่า นางเอก ร.ด. หมายถึง นางเอกเรียนดี แต่พี่เขาก็อมยิ้มแต่หลวงพี่ก็นึกในใจว่ามันไม่ใช้ ใช่หรือไม่น่า จนป่านนี้ยังไม่รู้เลยว่าแปลว่าอะไรฮิฮิ เอาเป็นว่าแปลว่า นางเอกเรียนดีก็แล้วกัน เป็นอันว่าในกลุ่มของเด็กรุ่นหนึ่งจะมีการพัฒนาทางสติปัญญาเพื่อการเรียนรู้และจดจำในระดับการคิด ( Thinking) และจินตนาการ ( Imagining) ตามแบบเด็กๆและจนถึงวัยผู้ใหญ่ ที่เป็นพัฒนาการทางสติปัญญานั้นเอง .

01 พฤศจิกายน 2552

โครงงานพัฒนาบุคลิกภาพ วิชา สปช. 2 สาขาสหวิทยาการเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร



จากการเข้าศึกษาสาขาสหวิทยาเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร สิ่งที่ได้คือการเรียนรู้ท้องถิ่น การพัฒนาท้องถิ่น ด้านการพัฒนาชุมชนด้วยเศรษฐกิจพอเพียง ด้านธรรมะ ด้านสุขภาพชุมชน เป็นต้น มีรายวิชาหนึ่งที่สอนการพัฒนาบุคลิกภาพตนเอง การเข้าใจตนเอง เพื่อปรับเปลี่ยนจุดดำของตนเองให้มีจุดเปลี่ยนที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้านอารมณ์ ด้านการไม่ขยัน ด้านการฟุ่งเฟ้อ หรือด้านไม่ดีต่างให้มีการพัฒนาให้อ่อนโยนมากขึ้น นั้นคือวิชา สปช. 1-2 -3 ในการเรียนวิชา สปช. 1 ที่ผ่านมาเทอมที่แล้ว เนื้อหามุ่งเน้นการพัฒนาบุคลิกภาพภายนอก ทั้งด้านกายภาพ เศรษฐกิจ สังคม ในการทำโครงงานเพื่อพัฒนาตนเอง และเทอมปัจจุบัน คือ 1/2552 ได้ศึกษา สปช.2 เป็นการศึกษาพัฒนาตนเองจากภายในของตนเอง เช่นด้านอารมณ์ ด้านตระหนี่ ด้านการไม่ขยันคือความเกียจคล้านต่างๆ ด้านการไม่รับฟังเหตุผลคนอื่นเอาความคิดตนเองเป็นใหญ่เป็นต้น แล้วนำเสนอโครงงานตามแบบฟอร์มของรายวิชาที่จัดทำขึ้น เป็นรายวิชาที่ชอบเพราะกระบวนการสอนและการทำโครงงานมุ่งรังสรรค์ตนเองให้มีจิตสำนึก หรือเรียกว่า การละลายพฤติกรรม หลวงพี่ได้จัดทำ

โครงงานเรื่องปรับอารมณ์ร้อนและโกรธของข้าพเจ้า

หลักสูตรศิลปศาสตรบันฑิต สาขาสหวิทยาการเพื่อการพัฒนาท้องถิ่น

วิชา การสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตและงาน 2

แบบเสนอหัวข้อโครงงานพัฒนาบุคลิกภาพ

ศูนย์เรียนรู้ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ศูนย์หนองเรือ จังหวัด ขอนแก่น

1. ชื่อโครงงาน ปรับอารมณ์ร้อนและโกรธของข้าพเจ้า


2. ชื่อผู้เสนอโครงงาน พระรังสรรค์ พิมพ์ช่างทอง รหัสประจำตัว 5030123101760


3. ชื่อที่ปรึกษาโครงงาน/ผู้ทรงคุณวุฒิที่ให้คำแนะนำปรึกษา(ต้องเป็นผู้ที่นักศึกษาขอให้ช่วยจริง และมีบทบาทจริงในการช่วยประเมินความก้าวหน้าในการพัฒนาตนของนักศึกษา)

1. อาจารย์ราชิต วงษ์ชมพู


4. ความเป็นมาของโครงการ

ปัจจุบันการทำงานหรือการพบปะผู้คนทำให้มีการกระทบกระทั้งกันเกิดขึ้นเนื่องด้วยสามารถความเอารัดเอาเปรียบความไม่ลงรอยกันในเรื่องงานหรืออะไรก็ตามย่อมเป็นผลให้เกิดความโกรธ กันขึ้นมาได้แน่นอนถ้าไม่ระงับความโกรธกันได้ผลเสียของความโกรธย่อมส่งผลรุนแรงทั้งด้านร่างกายและจิตใจอย่างแน่นอนและจะทำให้เกิดโรคภัยต่างๆตามมาอย่างไม่หยุดหยั่งถึงขั้นเป็นโรคจิตเลยก็ว่าได้ ซึ่งเป็นอันตรายอย่างมากต่อตนเองและบุคคลรอบข้าง ดังนั้นจึงอยากทำเรื่องการปรับอารมณ์ตนเอง ให้เกิดความสมดุลทางด้านจิตใจ และร่างกายและจะทำตนเองมีเมตตาต่อตนเองและกับคนอื่นมากขึ้นอีกด้วย

4.1 ข้าพเจ้าพบว่าตนเองมีบุคลิกภาพประเภท (ระบุสัตว์ที่เป็นสัญลักษณ์) หมี

ซึ่งจัดอยู่ธาตุ ดิน ข้าพเจ้ามีจุดแข็ง คือ ชอบธรรมชาติ และคิดดีต่อบุคลอื่น แต่มีจุดอ่อน คือ ทนต่อสิ่งยั่วยุไม่ได้

4.2 สิ่งหรือเหตุการณ์ที่บ่งชี้ว่าข้าพเจ้าเป็นอย่างในข้อ 4.2 คือ จิตใจที่อ่อนโยนของตนเอง.ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงทำโครงงานนี้ เพื่อให้จุดอ่อนในข้อ 4.2 ของข้าพเจ้าลดลง โดยได้คิดคำขวัญหรือปณิธานสำหรับตนเองเพื่อการนี้ว่า โกรธคือโง่โมโหคือบ้า ไม่โกรธดีกว่าไม่บ้าไม่โง่


5. จุดประสงค์เฉพาะของโครงงานของข้าพเจ้า คือ (เขียนให้สัมพันธ์กับข้อ 4.3 โดยเขียนสิ่งหรือเหตุการณ์ที่เฉพาะเจาะจงที่จะบ่งชี้สภาพที่ตรงกันข้ามหรือเปลี่ยนแปลงไปจากข้อ 4.3 เพื่อใช้ในการประเมินโครงงาน)

สร้างกรอบความรู้เพื่อศึกษาผลหรือลดอารมณ์โกรธ โดยศึกษาหลักธรรมะ

แล้วนำผลของความรู้ มาปฏิบัติ เพื่อปรับเปลี่ยนตนเอง


6. เริ่มดำเนินการวันที่ 6 เดือน กันยายน พ.ศ.2552 ถึงวันที่.30 เดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2552


7. หลักวิชาหรือแนวคิดที่นำมาใช้การทำโครงงาน หลักธรรมะของพระพุทธศาสนา


8. วิธีการและขั้นตอนการดำเนินการ

1. สร้างกรอบความรู้ ตามหลักวิชาการ และทางพุทธศาสนา

2. ตารางการปฏิบัติ

3. การประเมินผล

4. แบบสอบถาม

5. สรุปผลการปฏิบัติ

9.ประโยชน์ที่ข้าพเจ้าคาดว่าจะได้จากโครงการนี้คือ


1. ข้าพเจ้ามีบุคลิกภาพดีขึ้น

2. ข้าพเจ้ามีหลักธรรมะในใจ

3. ข้าพเจ้ามีเมตตาต่อสัตว์มากขึ้น

4. คลายอารมณ์ร้อนและโกรธได้

5. ลดกรรมได้


10.งบประมาณที่ใช้ (หากมี)......................บาท

แหล่งที่มาของงบประมาณ...............................................................................


ลงชื่อ...............................................ผู้เสนอโครงงาน

( พระรังสรรค์ พิมพ์ช่างทอง )

วัน/เดือน/ปี ที่เสนอ ………………………… 2552


ลงชื่อ.................................................ผู้อนุมัติ ลงชื่อ.................................................ผู้อนุมัติ


( ) ( )

อาจารย์นิเทศก์ประจำวิชา อาจารย์นิเทศก์ประจำวิชา


วัน/เดือน/ปี ที่อนุมัติ................................. วัน/เดือน/ปี ที่อนุมัติ.................................

บทคัดย่อ

โครงงานที่ข้าพเจ้า ทำคือ ปรับอารมณ์ร้อนและโกรธ จุดประสงค์คือปรับลดอารมณ์ร้อนและโกรธ เพื่อสร้างอารมณ์ให้เกิดความเย็นใจและไม่สร้างกรรม แต่กลับกันกับสร้างความเมตตาต่อสัตว์มากขึ้น และยังทำให้อารมณ์มีสุนทรีย์ศาสตร์อีกด้วย พร้อมใช้หลักธรรมะ เป็นตัวขยายความหมายของการปฏิบัติ ทำให้การปฏิบัติเกิดแนวทางที่ถูกต้อง ข้าพเจ้าเริ่มทำโครงการเมื่อ 6 กันยายน พ.. 2552 ถึง 30 พฤศจิกายน พ.. 2552 โดยเริ่มปฏิบัติตามกรอบของตารางการปฏิบัติครบทั้ง 7 วัน ในหนึ่งสัปดาห์ จนถึงสัปดาห์สุดท้ายที่ปฏิบัติ ผลคือการปฏิบัติของข้าพเจ้าเป็นที่พอใจเป็นอย่างมาก โดยสร้างแบบสอบถามเพื่อประเมินโครงงานของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามีอารมณ์ที่ปรับตัวได้มากขึ้นและให้อภัยต่อสัตว์และมีเมตตามากยิ่งขึ้น ข้าพเจ้ารู้สึกว่าอารมณ์เย็นและโรแมนติกและมีอารมณ์สุนทรีย์ภาพมากกว่าเดิม

โครงงานนี้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้คือ สามารถปรับอารมณ์จากร้อนและโกรธได้ดีตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการ

.................................................................................................

จากการศึกษารายวิชาต่างๆและวิชา สปช. 2 นี้มุ่งศึกษาตนเองและพัฒนาตนเองด้วยวิธีการต่างๆเช่นการนำหลักธรรมะมาใช้ ฉะนั้นวิชานี้จึงสบายมากเพราะอยู่กับธรรมะอยู่แล้ว และการพัฒนาตนเองไม่มีที่สิ้นสุด ได้วิชาการและทักษะต่างเพิ่มขึ้น ได้รู้จักตนเอง ได้รู้จักคน และได้รู้จักสังคม ชุมชนและท้องถิ่นมากยิ่งขึ้น และคิดว่าสามารถนำความรู้ไปใช้ได้ในอาชีพการงานตนเองได้ดีด้วยทั้งปัจจุบันและอนาคต ที่นำมาเสนอเป็นแบบย่อเท่านั้น .